วันนี้ (11 มี.ค. 66) นายทรงพล ใจกริ่ม ผู้ว่าราชการจังหวัดร้อยเอ็ด เปิดเผยว่า จังหวัดร้อยเอ็ดได้กำหนดแนวทางการขับเคลื่อนงานเพื่อเสริมสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับพี่น้องประชาชนในมิติต่าง ๆ เพื่อให้เกิดการสร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ การอนุรักษ์และสร้างสรรค์ภูมิปัญญาของบรรพบุรุษ ศิลปวัฒนธรรม ประเพณีท้องถิ่น โดยน้อมนำพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงมุ่งมั่นสืบสาน รักษา และต่อยอด พระราชดำริหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงในพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เพื่อให้ประชาชนพึ่งพาตนเอง การอนุรักษ์พันธุกรรมพืชตามพระราชดำริสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี รวมถึงพระดำริของสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ที่ทรงส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาทักษะด้านการประกอบอาชีพเสริมจากภูมิปัญญาผ้าไทยควบคู่กับการดูแลรักษาสภาพแวดล้อมให้คงอยู่คู่กับโลกใบนี้อย่างยั่งยืน ดังที่จังหวัดร้อยเอ็ดได้ร่วมลงนามประกาศเจตนารมณ์เพื่อประเทศไทยที่ยั่งยืนกับสหประชาชาติประจำประเทศไทย มุ่ง Change for Good ทำให้โลกใบเดียวของทุกคนมีอายุยืนยาวตราบนานเท่านาน ด้วยแนวคิด “76 จังหวัด 76 คำมั่นสัญญา เพื่อการพัฒนา เพื่อความเท่าเทียม เพื่อความยั่งยืน “โลกนี้เพื่อเรา”
นายทรงพล ใจกริ่ม ผู้ว่าราชการจังหวัดร้อยเอ็ด กล่าวว่า จังหวัดร้อยเอ็ดได้ดำเนินการจัดกิจกรรมสาธิตและฝึกปฏิบัติการใช้ประโยชน์จากต้นไม้ประจำจังหวัดร้อยเอ็ด ซึ่งเป็นหนึ่งในกิจกรรมตามพระราชดำริโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี (อพ.สธ) ด้านการสร้างสรรค์การใช้ประโยชน์จากต้นไม้ประจำจังหวัด คือ “ต้นกระบก” ณ ศูนย์เรียนรู้เมืองไม้บาติก อำเภอธวัชบุรี โดยมีผู้แทนกลุ่มทอผ้าสีธรรมชาติจาก 20 อำเภอ และภาคีเครือข่าย รวม 45 คน ร่วมรับฟังการบรรยายให้ความรู้เกี่ยวกับการใช้ประโยชน์จากต้นกระบก ต้นไม้ประจำจังหวัดร้อยเอ็ด จากส่วนต่าง ๆ ได้แก่ ใบกระบกให้สีเขียวกระดังงา ลูกกระบกให้สีเทาเงินถึงสีดำ และเปลือกต้นกระบกจะให้สีเทาอมม่วงแดง พร้อมทั้งสาธิตและฝึกปฏิบัติการย้อมสีเส้นไหม เส้นฝ้าย และผ้า จากสีธรรมชาติที่ได้จากส่วนต่าง ๆ ของต้นกระบก โดยได้รับเกียรติจาก อาจารย์ต่อศักดิ์ สุทธิสา ประธานกลุ่มเมืองไม้บาติก ผู้เชี่ยวชาญการทำผ้าบาติก/ผ้ามัดย้อม นางสุภาวดี พูลสุข และนางเอียบ นาคกระแส ผู้เชี่ยวชาญการย้อมผ้าสีธรรมชาติ ร่วมเป็นวิทยากร
“การใช้ประโยชน์งานย้อมสีธรรมชาติจากต้นกระบกนั้น จากข้อมูลพบว่า กระบกเป็นพืชหนึ่งที่ไม่มีข้อมูลในการนำมาย้อมสีเส้นไหม แต่จะมีการกล่าวถึงว่า ในสมัยโบราณมีการย้อมเส้นไหมด้วยผลกระบกให้เส้นไหมสีดำ เส้นฝ้ายสีเทาเงิน การย้อมเส้นไหมเส้นฝ้ายด้วยผลกระบกใช้ผลกระบกสุกนำมาทุบให้ผลแตกแล้วคั้นกับน้ำ โดยใช้ผลกระบกสุก 15 กิโลกรัม นำมาสกัดด้วยวิธีการต้มกับน้ำในอัตราส่วน 1:2 นาน 1 ชั่วโมง กรองใช้เฉพาะน้ำ สามารถย้อมเส้นไหมเส้นฝ้ายได้ 1 กิโลกรัม ใช้กรรมวิธีการย้อมด้วยความร้อน นาน 1 ชั่วโมง เสร็จแล้วนำเส้นไหมเส้นฝ้ายที่ผ่านการย้อมมาแช่ในน้ำโคลน วันละ 7-8 ชั่วโมง นาน 3 วัน ในขณะที่แช่ควรกลับเส้นไหมบ่อยๆ เพื่อป้องกันการด่างของเส้นไหม ไม่ควรแช่เส้นไหมค้างคืน ในแต่ละวันควรล้างเส้นไหมสะอาดก่อนแช่น้ำโคลนในวันถัดไป เมื่อครบ 3 วัน ให้นำเส้นไหมเส้นฝ้ายที่แช่อยู่ในน้ำโคลนมาย้อมต่อที่อุณหภูมิประมาณ 60-70 องศาเซลเซียส จะได้เส้นไหม/เส้นฝ้ายสีเทาถึงเทาดำ” ผวจ.ร้อยเอ็ด กล่าวเพิ่มเติม
นายทรงพล ใจกริ่ม ผู้ว่าราชการจังหวัดร้อยเอ็ด 9 ในช่วงท้ายว่า กระบกสามารถนำมาใช้ประโยชน์ในการย้อมสีผ้าได้ทุกส่วน โดยสีที่ได้จะมีความแตกต่างกัน ได้แก่ สีย้อมจากใบกระบกจะได้สีเขียวกระดังงา สีย้อมจากลูกกระบกจะได้สีเทาเงินถึงสีดำ และสีย้อมจากเปลือกต้นกระบกจะได้สีเทาอมม่วงแดง จากการจัดกิจกรรมในครั้งนี้กลุ่มเป้าหมายได้ฝึกปฏิบัติการย้อมผ้า เส้นฝ้าย เส้นไหม จากส่วนต่างๆ ของต้นกระบก และนำเส้นไหม เส้นฝ้าย ไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ ได้แก่ ผ้าพันทอ ผ้าคลุมไหล่ ผ้าสใบ เป็นต้น ซึ่งจังหวัดร้อยเอ็ด จะได้ขยายผลดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับประชาชน และดูแลรักษาโลกใบเดียวนี้ให้คงอยู่อย่างยั่งยืน
กองสารนิเทศ สป.มท.
ครั้งที่ 235/2566 วันที่ 11 มี.ค. 2566
