เมื่อวันที่ 29 มิ.ย. 67 เวลา 16.30 น. ที่วัดพระแท่นศิลาอาสน์ พระอารามหลวง ตำบลทุ่งยั้ง อำเภอลับแล จังหวัดอุตรดิตถ์ นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เดินทางเข้ากราบสักการะพระแท่นศิลาอาสน์ซึ่งประดิษฐานภายในพระวิหารหลวงของวัด โดยได้รับเมตตาจาก พระวินัยสาทร เจ้าคณะจังหวัดพิษณุโลก-อุตรดิตถ์ (ธ) เจ้าอาวาสวัดพระแท่นศิลาอาสน์ พระอารามหลวง นำสักการะ โดยมี อาจารย์ขวัญทอง สอนศิริ ที่ปรึกษาปลัดกระทรวงมหาดไทย นายศิริวัฒน์ บุปผาเจริญ ผู้ว่าราชการจังหวัดอุตรดิตถ์ นายสหวิช อภิชัยวิศรุตกุล รองผู้ว่าราชการจังหวัดอุตรดิตถ์ นางสาวณัฐนิช อินทสระ ผู้อำนวยการสำนักส่งเสริมภูมิปัญญาท้องถิ่นและวิสาหกิจชุมชน กรมการพัฒนาชุมชน นางสาวเพ็ชรินทร์ ปฐมวณิชกะ หัวหน้าสำนักงานจังหวัดอุตรดิตถ์ ร่วมสักการะ โดย นายภูริวัจน์ โชตินพรัตน์ นายอำเภอลับแล พร้อมด้วยกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน สารวัตรกำนัน แพทย์ประจำตำบล ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และพี่น้องประชาชนในพื้นที่ ร่วมให้การต้อนรับ
จากนั้น ในเวลา 17.30 น. นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย และคณะฯ ลงพื้นที่วัดดอนสัก ตำบลฝายหลวง อำเภอลับแล จังหวัดอุตรดิตถ์ โดยมี นาเชียด ทองนันท์ กำนันตำบลฝายหลวง พร้อมด้วยภาคีเครือข่ายในพื้นที่ตำบลฝายหลวง ให้การต้อนรับและนำชม
นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า ในการลงพื้นที่ตรวจราชการในพื้นที่จังหวัดอุตรดิตถ์ในวันนี้ ได้มีโอกาสที่ดีในการมาสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองของพี่น้องชาวจังหวัดอุตรดิตถ์ คือ พระแท่นศิลาอาสน์ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ซึ่งมีประวัติความเป็นมายาวนาน เป็นที่เคารพบูชาของพี่น้องพุทธศาสนิกชนทั้งชาวจังหวัดอุตรดิตถ์ ชาวไทย และพุทธศาสนิกชนทั่วโลก โดยพระแท่นศิลาอาสน์องค์นี้ ยังได้รับการอัญเชิญไปเป็นส่วนหนึ่งของสัญลักษณ์ประจำจังหวัดอุตรดิตถ์ อันสะท้อนถึงความหมายอันทรงคุณค่า สะท้อนถึงความเชื่อและเรื่องราวความผูกพันของพุทธศาสนิกชนชาวเมืองลับแลกับพระพุทธศาสนาที่มีมาอย่างยาวนาน ถือเป็นสิ่งที่ดีงามที่ควรสงวนรักษาไว้คู่กับจังหวัดอุตรดิตถ์ นอกจากนี้ ยังได้มีโอกาสเยี่ยมชมความงดงามของโบราณสถาน ที่พระวิหาร วัดดอนสัก ซึ่งเป็นอีกหนึ่งโบราณสถานที่สำคัญ ที่ควรค่าแก่การอนุรักษ์ไว้ ให้เป็นที่ภาคภูมิใจของชาวอุตรดิตถ์
“ขอฝากให้ท่านผู้ว่าราชการจังหวัดอุตรดิตถ์ และนายอำเภอลับแล ได้เป็นผู้นำการบูรณาการภาคีเครือข่ายในพื้นที่จังหวัดอุตรดิตถ์ และพื้นที่อำเภอลับแล ช่วยกันทำนุบำรุงโบราณสถานแห่งความศรัทธาของชาวพุทธ และร่วมกันสืบสานวัฒนธรรมอันดีงาม รวมทั้งต่อยอดให้เป็นการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ส่งต่อความรู้และมรดกทางวัฒนธรรมเหล่านี้ไปยังลูกหลานชาวจังหวัดอุตรดิตถ์ เพื่อให้ร่วมกันสงวนรักษามรดกทางวัฒนธรรมให้คงอยู่คู่กับอำเภอลับแล จังหวัดอุตรดิตถ์ อันเป็นหนึ่งในตัวชี้วัดที่สำคัญของการขับเคลื่อนหมู่บ้านยั่งยืน (Sustainable Village) และสอดคล้องกับบันทึกข้อตกลงความร่วมมือระหว่างกระทรวงมหาดไทยและมหาเถรสมาคม อีกด้วย” นายสุทธิพงษ์ กล่าวเพิ่มเติม
พระวินัยสาทร กล่าวว่า วัดพระแท่นศิลาอาสน์ พระอารามหลวง เดิมชื่อวัดมหาธาตุ เป็นพระอารามหลวงชั้นตรี สังกัดคณะธรรมยุติกนิกาย ตั้งอยู่ที่บ้านพระแท่น ตำบลทุ่งยั้ง อำเภอลับแล จังหวัดอุตรดิตถ์ ซึ่งภายในพระวิหารหลวง เป็นที่ประดิษฐานพระแท่นศิลาอาสน์ ที่เชื่อกันมาแต่โบราณว่า สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เสด็จมาประทับนั่งบนพระแท่นแห่งนี้ เพื่อเจริญภาวนา และได้ประทับยับยั้งในเวลาที่ตรัสรู้แล้วเพื่อโปรดสัตว์ มีลักษณะเป็นศิลาแลง รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ขนาดกว้าง 8 ฟุต ยาวประมาณ 10 ฟุต สูง 3 ฟุต ที่ฐานพระแท่นประดับด้วยลายกลีบบัว โดยรอบมีพระมณฑปศิลปะเชียงแสนครอบอยู่ และมีเรื่องเล่าสืบต่อกันมาว่า นายช่างที่สร้างวิหารวัดพระแท่นศิลาอาสน์ วัดพระฝาง และวัดสุทัศน์ เป็นนายช่างคนเดียวกัน บานประตูเก่าของพระวิหารเป็นไม้แกะสลักฝีมือดีแกะไม้ออกมาเด่นเป็นลายซ้อนกันหลายชั้น แม่ลายเป็นก้านขดปลายเป็นรูปภาพต่าง ๆ เป็นลายเดียวกับลายบานมุขหน้าวิหารพระพุทธชินราช อาจสร้างแต่ครั้งพระเจ้าติโลกราชกษัตริย์แห่งราชอาณาจักรล้านนาเคียงคู่กับสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถแห่งกรุงศรีอยุธยา ต่อมาพระเจ้าบรมโกศมีพระราชศรัทธาให้ทำประตูมุขตามลายเดิมถวายแทน แล้วโปรดให้เอาบานเดิมนั้นไปใช้เป็นบานวิหารวัดพระแท่นศิลาอาสน์ ประตูวิหารเก่าบานดังกล่าวได้ถูกไฟไหม้ไปเมื่อ วันที่ 25 มีนาคม 2451 และต่อมาพระยาวโรดมภักดีศรีอุตรดิตถ์นคร (อั้น หงษนันท์) เจ้าเมืองอุตรดิตถ์ได้เรี่ยไรเงินสร้างและซ่อมแซมวิหาร ภายในวิหารมีซุ้มมณฑปครอบพระแท่นศิลาอาสน์ไว้
“โดยพระแท่นศิลาอาสน์ ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถาน เมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2478 โดยในขณะนี้ วัดอยู่ระหว่างดำเนินโครงการบูรณปฏิสังขรณ์พระวิหารหลวง พระแท่นศิลาอาสน์ เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567” พระวินัยสาทร กล่าวเพิ่มเติม
กำนันเชียด ทองนันท์ กล่าวว่า วัดดอนสัก ตั้งอยู่ที่ตำบลฝายหลวง อำเภอลับแล จังหวัดอุตรดิตถ์ โดยคำว่า ดอนสัก นั้น เล่ากันว่ามาจากการที่สร้างวิหารด้วยไม้สักเพียงต้นเดียวที่เนินสูงภายในบริเวณวัดซึ่งเป็นเนินตามธรรมชาติ โดยวิหารแห่งนี้มีจุดเด่น คือ เป็นบานประตูไม้สักที่สวยงาม เป็น 1 ใน 3 คู่ของวัดในพื้นที่จังหวัดอุตรดิตถ์ โดยอีก 2 วัด คือ วัดพระฝาง และวัดพระแท่นศิลาอาสน์ พระอารามหลวง ทั้งนี้ สันนิษฐานกันว่า วัดแห่งนี้ น่าจะสร้างมาตั้งแต่ในยุคกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย เพราะพบบานประตูมีลวดลายปักฉลุสถาปัตยกรรมเชียงแสนผสมผสานศิลปะสุโขทัย เสาประตูเป็นลายกนกใบเทศสลับลายกนกก้ามปู บานประตูเป็นไม้แกะสลักทั้งบาน รูปลายกนกก้านขด มีรูปสัตว์หิมพานต์แทรกอยู่ในลวดลายกนก โดยเมื่อปิดบานประตู จะเห็นลวดลายที่เชื่อมกันอย่างสวยงาม เป็นฝีมือของช่างโบราณที่หาชมได้ยาก
“วิหารวัดดอนสักแห่งนี้ ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานจากกรมศิลปากร เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2526 และในปัจจุบันด้วยสภาพอากาศ และกาลเวลาที่วิหารแห่งนี้ขาดการบูรณะมานาน ส่งผลให้บริเวณช่อฟ้า ตลอดจนหลังคา และองค์ประกอบต่าง ๆ เกิดการชำรุด และภายวิหารยังพบความเสี่ยงที่จะเกิดอันตรายจากกระแสไฟฟ้ารั่ว ที่อาจจะส่งผลต่อชีวิตผู้ประกอบศาสนกิจและนักท่องเที่ยวได้ แต่เนื่องจากเป็นโบราณสถานตามประกาศของกรมศิลปากร ในการบูรณะซ่อมแซมจึงต้องประสานความร่วมมือไปยังกรมศิลปากร เพื่อบูรณะซ่อมแซมให้เป็นโบราณสถานที่ทรงคุณค่าทางมรดกวัฒนธรรมและรักษาให้คงอยู่คู่กับอุตรดิตถ์ตลอดไป” กำนันเชียด กล่าวเพิ่มเติม
กองสารนิเทศ สป.มท.
ครั้งที่ 1320/2567 วันที่ 29 มิ.ย. 2567