วันนี้ (6 ต.ค. 68) เวลา 14.24 น. นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการอำนวยการและบริหารสถานการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติ (คอภ.) ครั้งที่ 1/2568 โดยมี นายโสภณ ซารัมย์ รองนายกรัฐมนตรี ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรีและรมว.เกษตรและสหกรณ์ นายไชยชนก ชิดชอบ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม นายสุรศักดิ์ พันธุ์เจริญวรกุล รมว.อุดมศึกษาฯ นายภราดร ปริศนานันทกุล รมต.สำนักนายกรัฐมนตรี นายศักดิ์ดา วิเชียรศิลป์ รมช.มหาดไทย นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี หัวหน้าส่วนราชการและหัวหน้าหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงนายจุมพฏ วรรณฉัตรสิริ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านสาธารณภัยและพัฒนาเมือง นายนฤชา โฆษาศิวิไลซ์ รองหัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย นายเชษฐา โมสิกรัตน์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) และผู้บริหาร ปภ. พร้อมเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ร่วมประชุม
นายอนุทิน กล่าวว่า วันนี้เป็นการประชุมคณะกรรมการอำนวยการและบริหารสถานการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติครั้งที่ 1/2568 เพื่อติดตามสถานการณ์อุทกภัย การให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัย แนวโน้มสถานการณ์และแนวทางการบริหารจัดการน้ำ ตลอดรวมถึงร่วมพิจารณาแนวทางการช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบภัยให้ดำเนินไปอย่างเป็นระบบและมีการบูรณาการทุกภาคส่วนอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งปัจจุบันนี้ได้เกิดสถานการณ์อุทกภัย วาตภัย และดินโคลนถล่มในหลายพื้นที่ ก่อให้เกิดความเสียหายในวงกว้างทั้งต่อทรัพย์สินและชีวิตประชาชน และในช่วงสัปดาห์นี้ ประเทศไทยยังคงได้รับอิทธิพลจากพายุแมตโม (MATMO) และตั้งแต่เดือนตุลาคมเป็นต้นไป จะเป็นห้วงฤดูมรสุมของพื้นที่ภาคใต้ ซึ่งอาจจะมีฝนตกหนักและฝนตกสะสม ทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก และน้ำล้นตลิ่งได้ในหลายพื้นที่
“รัฐบาลมีความห่วงใยต่อสถานการณ์อุทกภัย และดินถล่มที่เกิดขึ้น คณะรัฐมนตรีได้กระจายกันลงพื้นที่ตรวจติดตามสถานการณ์ การให้ความช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบภัยและให้กำลังใจประชาชนผู้ประสบภัยพร้อมทั้งได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งเข้าให้ความช่วยเหลือและเยียวยาประชาชนผู้ประสบภัยโดยเร็ว” นายอนุทิน กล่าว
จากนั้น นายกรัฐมนตรี และคณะกรรมการฯ ร่วมรับฟังรายงานจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ 1. สถานการณ์อุทกภัยและการให้ความช่วยเหลือ รวมถึงระบบเตือนภัย T-Alert จากกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย 2. การพยากรณ์ จากกรมอุตุนิยมวิทยา และสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำกรน้ำ (องค์การมหาชน) 3. ด้านการบริหารจัดการน้ำ จากสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) และกรมชลประทาน และ 4. การให้ความช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบอุทกภัย จากกองทุนเงินช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย สำนักนายกรัฐมนตรี โดยสำนักนายกรัฐมนตรี
ที่ประชุมฯ ในวันนี้ ได้มีการเห็นชอบแนวทางการช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบอุทกภัยตามที่กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเสนอหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในช่วงฤดูฝน ปี 2568 เช่นเดียวกันกับปี 2567 โดยให้ความช่วยเหลืออัตราเดียว ครัวเรือนละ 9,000 บาท ได้แก่ 1. กรณีที่อยู่อาศัยประจำอยู่ในพื้นที่น้ำท่วม ดินถล่ม น้ำท่วมฉับพลับพลัน น้ำป่าไหลหลาก น้ำลันตลิ่ง ไม่เกิน 7 วัน และทรัพย์สินได้รับความเสียหาย และ 2. กรณีที่อยู่อาศัยประจำถูกน้ำท่วมขัง ติดต่อกันเกินกว่า 7 วัน โดยกำชับให้กระทรวงมหาดไทย และ ปภ. ได้เร่งรัดการเบิกจ่ายเงินเยียวยาให้ถึงมือประชาชนด้วยความรวดเร็วที่สุด ให้ทันท่วงทีต่อสถานการณ์ ทั้งนี้ ภายหลังจากได้รับความเห็นชอบจาก ครม. ตามระเบียบหลักเกณฑ์ที่กำหนด
นอกจากนี้ ได้มีการหารือถึงการช่วยเหลือประชาชนกรณีที่อยู่อาศัยประจำถูกน้ำท่วมขังติดต่อกันเกิน 30 วัน ถึง 3 เดือน รวมทั้งจัดทำมาตรการและหลักเกณฑ์การช่วยเหลือเยียวยาประชาชนที่ได้สละพื้นที่ทำกินหรือที่ดินกรรมสิทธิ์สำหรับพื้นที่รับน้ำเป็นเวลานานถึง 4 เดือนให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ซึ่งที่ประชุมได้มอบหมายให้นายภราดร ปริศนานันทกุล รมต.สำนักนายกรัฐมนตรี ได้หารือกับสำนักงบประมาณ และกระทรวงมหาดไทย
นายกรัฐมนตรี ยังได้สั่งการให้หน่วยงานด้านการบริหารจัดการน้ำ อาทิ สทนช. และกรมชลประทาน ได้บริหารจัดการน้ำ ทั้งการควบคุมการเปิด-ปิดประตูระบายน้ำ การพร่องน้ำ การผลักดันน้ำ เพื่อให้การบริหารจัดการเกิดประสิทธิภาพสูงสุด พร้อมทั้งสั่งการให้กระทรวงมหาดไทยกำชับผู้ว่าราชการจังหวัดได้สร้างความเข้าใจผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการอนุมัติจ่ายงบประมาณเพื่อช่วยเหลือประชาชนให้เป็นไปด้วยความถูกต้อง เหมาะสม คุ้มค่า ตามหลักธรรมาภิบาล เพื่อให้การช่วยเหลือประชาชนเป็นไปอย่างทันท่วงที เนื่องจากที่ผ่านมา ผู้บริหาร อปท. ไม่กล้าอนุมัติงบประมาณดังกล่าว เนื่องจากเกรงว่าหน่วยงานตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณจะเข้าตรวจสอบแล้วเรียกเงินคืน
และได้มีข้อสั่งการให้เพิ่มเติม “รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม” และ “รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข” เป็นคณะกรรมการฯ คอภ. และยกร่างคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการปฏิบัติการ โดยมีหน่วยงานสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงกลาโหม และหน่วยงานที่มีสรรพกำลังเครื่องไม้เครื่องมือในการปฏิบัติการ เป็นคณะที่ 3 โดยมี รองนายกรัฐมนตรีและรมว.เกษตรและสหกรณ์ เป็นประธาน เพื่อให้เกิดการบูรณาการอย่างครอบคลุม
รวมถึงให้ทุกหน่วยงานให้ความช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ประสบภัยตามอำนาจหน้าที่ ระเบียบ กฎหมายที่เกี่ยวข้อง และเป็นไปตามแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ หากต้องใช้อำนาจเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดขอให้ได้แจ้งมายังคณะรัฐมนตรีพิจารณา ให้เกิดความคล่องตัวในการช่วยเหลือประชาชน และให้หน่วยงานด้านการประชาสัมพันธ์ของรัฐ ได้สร้างการรับรู้ความเข้าใจกับประชาชนถึงการช่วยเหลือเยียวยาตามระเบียบหลักเกณฑ์ต่าง ๆ และให้คณะกรรมการศูนย์ฯ ที่ได้รับแต่งตั้ง มีการประชุมทุกสัปดาห์ พร้อมรายงานความคืบหน้าการดำเนินงานให้ นายกรัฐมนตรี ครม. และ คอภ. ทราบอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ กรรมการในที่ประชุมฯ ได้กำชับหน่วยงานด้านบริหารจัดการน้ำเตรียมความพร้อมรับมือน้ำทะเลหนุนสูงในห้วงวันที่ 9-12 ต.ค. 68 รวมถึงให้มีการศึกษาในเชิงลึกถึงสาเหตุของความรุนแรงจากภัยธรรมชาติ เพื่อแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ และเกิดการแก้ปัญหาที่ยั่งยืน
กองสารนิเทศ สป.มท.
ครั้งที่ 823/2568 วันที่ 6 ต.ค. 2568