วันนี้ (7 ต.ค. 68) เวลา 08.45 น. สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินเป็นการส่วนพระองค์ไปทรงเป็นประธานเปิดงานวันอาหารโลก ประจำปี 2568 (World Food Day 2025 and 80″ FAO Anniversany) ในหัวข้อ “Hand in Hand for Better Foods and a Better Future” จับมือร่วมสร้างอาหารที่ดี เพื่อพรุ่งนี้ที่ดีกว่า ณ สำนักงานภูมิภาคประจำภาคพื้นเอเชีย – แปซิฟิก องค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ (Food and Agriculture Organization of the United Nations: FAO) ถ.พระอาทิตย์ แขวงชนะสงคราม เขตพระนคร กรุงเทพฯ
การนี้ ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรีและรมว.เกษตรและสหกรณ์ นายวิณะโรจน์ ทรัพย์ส่งสุข ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายชูชีพ พงษ์ไชย รองปลัดกระทรวงมหาดไทยด้านบริหาร นางสาวเจียง เสี่ยวโร่ว เจ้าหน้าอาวุโสด้านโครงการ FAO และคณะผู้บริหารกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ คณะผู้บริหาร FAO เฝ้าทูลละอองพระบาทรับเสด็จ
โอกาสนี้ มีพระราชดำรัสเปิดงานวันอาหารโลก ครั้งที่ 45 ทรงกล่าวถึงความท้าทายที่เรากำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบัน เช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศความขัดแย้งที่ก่อให้เกิดความเหลื่อมล้ำที่เพิ่มขึ้น หรือการสูญเสียอาหาร ล้วนเชื่อมโยงกัน การบรรลุถึงความมั่นคงทางอาหารอย่างยั่งยืน และความสามารถในการรับมือกับวิกฤต จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือร่วมใจจากทุกภาคส่วน
องค์การสหประชาชาติกำหนดให้วันที่ 16 ตุลาคมของทุกปี กำหนดให้เป็นวันอาหารโลก (World Food Day) เพื่อระลึกถึงวันก่อตั้งองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (Food and Agriculture Organization of the United Nations – FAO) เป็นองค์การเฉพาะของสหประชาชาติที่ก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2488 โดยมีพันธกิจหลักในการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนทั่วโลกผ่านการขจัดความหิวโหย ความไม่มั่นคงทางอาหาร และการพัฒนาการเกษตรอย่างยั่งยืน ปัจจุบันมีประเทศสมาชิกกว่า 190 ประเทศ รวมถึงประเทศไทย
นอกจากนี้ FAO ได้ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายตำแหน่ง “ทูตพิเศษด้านการขจัดความอดอยากหิวโหย” แด่สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เพื่อยกย่องที่ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจในการช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาความหิวโหยของผู้ยากไร้ในไทยและภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และทรงเป็นแรงบันดาลใจในการยุติความหิวโหยและปรับปรุงโภชนาการอีกด้วย
วันอาหารโลก (World Food Day) มีวัตถุประสงค์ที่สำคัญเพื่อสร้างการตระหนักรู้ในปัญหาความหิวโหยและโภชนาการที่ยังคงมีอยู่ทั่วโลก อีกทั้งยังเป็นเวทีรณรงค์ให้ทุกประเทศร่วมมือกันเสริมสร้างความมั่นคงทางอาหาร ซึ่งเชื่อมโยงโดยตรงกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ (Sustainable Development Goals: SDGs) โดยเฉพาะเป้าหมายที่ 2 ขจัดความหิวโหย (Zero Hunger)
กระทรวงมหาดไทย ภายใต้การนำของนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ให้ความสำคัญในการเสริมสร้างบทบาทของพื้นที่ต่อการขับเคลื่อน “การแก้ไขปัญหาความหิวโหยและโภชนาการ” โดยน้อมนำพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในด้านอารยเกษตร ที่มุ่งเน้นการสืบสาน รักษา และต่อยอด หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และแนวพระราชดำริของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี สู่การขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน ได้แก่ การเสริมสร้างความมั่นคงด้านอาหารในระดับท้องถิ่น ผ่านการส่งเสริมเศรษฐกิจพอเพียงและการพัฒนาชุมชน การบริหารจัดการภัยพิบัติและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งมีผลกระทบโดยตรงต่อความมั่นคงทางอาหาร โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบทและเกษตรกรรม อาทิ โครงการบ้านนี้มีรัก ปลูกผักกินเอง และโครงการทางนี้มีผล ผู้คนรักกัน ตลอดจนถึงการน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมุ่งลดความเหลื่อมล้ำและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน ตามนโยบายการพัฒนาประเทศและการบรรรลุเป้าหมาย SDGs ด้วยการบูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานระหว่างประเทศ รวมถึง FAO เพื่อสนับสนุนโครงการด้านเกษตร การจัดการทรัพยากรธรรมชาติ และความยั่งยืนของชุมชน ด้วยพันธกิจบำบัดทุกข์ บำรุงสุข ทำให้ประชาชนมีความอุดมสมบูรณ์พูนสุข มีคุณภาพชีวิตที่ดี มีความมั่นคงด้านอาหาร เพื่อการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน
กองสารนิเทศ สป.มท.
ครั้งที่ 827/2568 วันที่ 7 ต.ค. 2568