วันนี้ (10 ต.ค. 68) เวลา 15.30 น. ที่อาคารศูนย์เรียนรู้และพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวสำนักชลประทานที่ 12 เขื่อนเจ้าพระยา อ.สรรพยา จ.ชัยนาท นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย เป็นประธานการประชุมติดตามสถานการณ์น้ำและแผนบรรเทาอุทกภัยลุ่มน้ำเจ้าพระยา โดยมี นายภราดร ปริศนานันทกุล รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายศักดิ์ดา วิเชียรศิลป์ รมช.มหาดไทย น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล เลขาธิการนายกรัฐมนตรี นายชาดา ไทยเศรษฐ์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการ สทนช. นายนฤชา โฆษาศิวิไลซ์ หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย นางรณิดา เหลืองฐิติสกุล ผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย นายนิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร นายเชษฐา โมสิกรัตน์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย นายพงษ์นรา เย็นยิ่ง อธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง นายนที มนตริวัต ผู้ว่าราชการจังหวัดชัยนาท นายธีรพัฒน์ คัชมาตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดอุทัยธานี พร้อมด้วยส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ร่วมประชุม
นายอนุทิน กล่าวว่า วันนี้ตนและคณะลงพื้นที่ไล่ตรวจพื้นที่ตั้งแต่ จ.พิจิตรลงมาที่ชัยนาทและที่สิงห์บุรี โดยเฉพาะที่ตะพานหินพบว่ามีสภาพน้ำท่วมขังเป็นจำนวนมากมหาศาลที่เราต้องเร่งจัดการให้ได้ และตอนนี้ก็เริ่มเข้าสู่ปลายฤดูฝนแล้ว คาดว่าถ้าไม่มีปริมาณน้ำฝนเติมเข้ามาอีก สถานการณ์น่าจะลดระดับความรุนแรงลงมาได้ใน 2-3 สัปดาห์ ซึ่งสำหรับพี่น้องประชาชนที่ต้องอาศัยอยู่ในบ้านเรือนที่น้ำท่วมขังอยู่นั้น 1 ชั่วโมงของเขามีความลำบากแสนสาหัสอยู่แล้ว “จึงขอให้ข้าราชการที่เกี่ยวข้องคำนึงถึงความจำเป็นเร่งด่วนและหาวิธีในการที่จะแก้ไขปัญหาคลายความทุกข์ความลำบากของพี่น้องประชาชนให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
นายอนุทิน ได้กล่าวถึงการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาการจัดการภัยพิบัติลักษณะเครือข่าย ผ่านกลไก คอภ. โดยมีการตั้งคณะกรรมการย่อย 2 ส่วน คือ 1. ด้านการเยียวยาในทุกมิติ ซึ่งมี รองนายกฯ โสภณ ซารัมย์ เป็นประธาน และ 2. ด้านการบริหารจัดการน้ำให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดด้วยการบูรณาการความร่วมมืออย่างเต็มกำลังของทุกส่วน โดยมี รองนายกฯ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เป็นประธาน ทั้งยังได้สั่งการให้ รมต.สำนักนายกฯ (ภราดร ปริศนานันทกุล) ได้แสวงหาแนวทางร่วมกับหน่วยงานด้านงบประมาณเกี่ยวกับการเพิ่มหลักเกณฑ์ เงินเยียวยาประชาชนกรณีบ้านเรือนได้รับผลกระทบเกินกว่า 7 วันแต่ยาวนานถึง 90 วัน (3 เดือน) และยังได้ย้ำว่า รัฐบาลชุดนี้มีความเข้าใจตางกันว่า “อะไรที่เป็นเรื่องความเดือดร้อนของประชาชนเป็นสิ่งที่เราต้องแก้ไขอย่างเร่งด่วนเป็นลำดับแรก จึงขอให้ข้าราชการประจำ “เอาเป้าหมายเป็นตัวตั้ง” น้ำต้องถูกระบายโดยพลันโดยเร็ว รวมถึงเรื่องการช่วยเหลือประชาชนต้องดำเนินการทันที ซึ่งใน 4 เดือนนี้ต้องทำให้ได้เช่นนี้ ส่วนในเรื่องการวางแผนระยะยาว เลขาธิการ สทนช. และคณะรัฐมนตรีทั้งคณะ จะวางรากฐานให้เป็นพื้นฐานที่ดี และหลังจากเลือกตั้งเมื่อรัฐบาลไหนเข้ามาก็สามารถสานต่อได้เลย ไม่มีการแสวงหาผลประโยชน์จากความเดือดร้อนของประชาชน เพราะในข้อเท็จจริง รัฐบาลได้มีการอนุมัติเงินเยียวยาน้ำท่วมปีละ 30,000 ล้านบาท 3 ปี ก็เกือบ 70,000 ล้านบาท ซึ่งหากเราเปลี่ยนจากเงินเยียวยาให้กลายเป็นเงินลงทุนในการทำโครงการแก้ไขปัญหาและบริหารจัดการให้เกิดการระบายน้ำอย่างยั่งยืนที่ตอนนี้มีโครงการบางบาล-บางไทรใช้เวลา 5-6 ปี รวมถึงโครงการเจ้าพระยา-ป่าสัก และอีก 8 โครงการ ซึ่งเราต้องช่วยกันคิดว่า ผันเงินเหล่านี้มาทำให้เกิดถาวรวัตถุที่สามารถบริหารจัดการระบบการระบายน้ำการจัดการน้ำ บริหารให้ดีที่สุด จะเก็บกักตรงไหนได้ ให้มันผ่านตรงไหนได้ ต้องทำทางให้น้ำวิ่งเพื่อที่จะแก้ไขปัญหาทั้งหลายอย่างเป็นระบบ เพื่อให้เกิดประโยชน์ในช่วงหน้าแล้งด้วย เราจะเห็นประชาชนเดือดร้อนแบบนี้ทุกปีไม่ได้ ต้องหาแนวทางและทำทันที
นายอนุทิน ยังได้สั่งการการแก้ไขปัญหาในระยะสั้น คือ 1. ให้กรมชลประทานปรับลดการระบายน้ำเขื่อนหลักทั้ง 4 แห่ง ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปริมาณน้ำฝนและปริมาณความต้องการการใช้น้ำ 2. ให้ สทนช. เร่งรัด วิธีการและโครงการวางแผนการระบายน้ำ ต้องร่นการเริ่มโครงการต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับการบริหารจัดการน้ำให้สามารถดำเนินการโดยเร็ว และ 3. ส่วนราชการ และ อปท. ในพื้นที่ต้องบูรณาการการทำงาน “มองประชาชนเป็นหลัก” อาทิ ในเรื่องการบริหารจัดการประตูน้ำที่มีการแบ่งแยกความรับผิดชอบ ทำให้เกิดความไม่คล่องตัวในการบริหารจัดการและแก้ไขปัญหา ซึ่งจะส่งผลให้เกิดความเดือดร้อนต่อประชาชน ดังนั้น หากเกิดกรณีแบบนี้ผู้ว่าราชการจังหวัดจะต้องเข้าไปแก้ไขปัญหา หากเกินอำนาจให้รายงานมายังปลัดกระทรวงมหาดไทย ถ้าเกินอำนาจมหาดไทยก็ให้รายงานมาที่ตนสั่งการ ในการแก้ไขปัญหาไม่ให้ความเดือดร้อนเกิดกับประชาชน
รมช.ศักดิ์ดา กล่าวว่า วันนี้ประชาชนเป็นห่วงว่าจะท่วมกรุงเทพฯ และปริมณฑลหรือไม่ ซึ่งขณะนี้ระดับน้ำปล่อยลงมาน้อยลงจาก 2,800 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที แล้วจะลงไปเรื่อย ๆ ซึ่งจะทำให้ท้ายน้ำตั้งแต่สิงห์บุรี อ่างทอง อยุธยา ปทุมธานี นนทบุรี จนถึงกรุงเทพฯ น้ำจะน้อยลง ดังนั้นโอกาสที่น้ำฝนจะมาเติมหรือน้ำทางเหนือที่ปล่อยลงมาจะน้อยลง จากสถิติเหล่านี้จึงจะไม่ส่งผลกระทบให้เกิดสถานการณ์เหมือนปี 2554 ได้กล่าวถึงหากเรามีการปลูกป่าปลูกต้นไม้เพิ่มเติมก็จะช่วยชะลอการไหลของน้ำ เพราะถ้าไม่มีต้นไม้เมื่อฝนตกหนักหน้าดินก็จะไหลพังทลายลงมากับน้ำ ดังนั้นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการดูแลพื้นที่ป่า ต้องลงไปดูว่าสิ่งที่เคยได้รับงบประมาณไปปลูกป่าฟื้นฟูป่าต้องเข้มข้น เพราะถ้าไม่มีป่าต้นน้ำจะส่งผลให้เกิดความรุนแรง เพราะจากข้อมูลวิชาการ พื้นที่ป่า 1 ไร่จะเก็บน้ำหรืออุ้มน้ำ 700-800 ลูกบาศก์เมตร ซึ่งจากการสำรวจพื้นที่เขาหัวโล้น ตั้งแต่รัฐบาลเมื่อหลายปีก่อน พบว่ามีพื้นที่เขาหัวโล้นทั่วประเทศ 8-10 ล้านไร่ ซึ่งหากเราช่วยกันเพิ่มจำนวนต้นไม้พื้นที่เหล่านี้ก็จะทำให้สามารถดูดซับน้ำได้มหาศาลเทียบกับปริมาณน้ำในเขื่อนขนาดใหญ่ของประเทศได้ จึงต้องรักษาและฟื้นฟูพื้นที่ต้นน้ำให้ได้ ซึ่งต้องดึงองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเข้ามามีส่วนร่วมในการปลูก เพราะพวกเขาอยู่ในพื้นที่ชุมชน เขามีคนและมีงบประมาณในพื้นที่ที่จะเข้าไปช่วยกันดูแลและบำรุงรักษา เปลี่ยนจากอาชีพการเกษตรไปปลูกป่า ซึ่งจะส่งผลให้น้ำท่วมน้อยกว่านี้ และการพังทลายของหน้าดินก็จะน้อยลง ซึ่งจะเป็นการแก้ไขปัญหาระยะยาว และข้อสุดท้ายคือในระยะสั้น การอนุมัติเงินช่วยเหลือเยียวยา ตอนนี้ ในวันที่ 14 ตุลาคมนี้ ครม. จะอนุมัติเงินกว่า 6 แสนครัวเรือน 6,000-7,000 ล้านบาทเพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ประสบปัญหาอุทกภัยครัวเรือนละ 9,000 บาท ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องเร่งในการจ่ายเงินเยียวยาให้ถึงกับประชาชนโดยเร่งด่วน
รมต.ภราดร มอบแนวทาง 3 เรื่อง คือ 1. การเยียวยาพี่น้องประชาชนต้องเป็นไปด้วยความเร่งรัด ถึงประชาชนโดยเร็วที่สุด ไม่ใช่เกิดเหตุปีนี้ชดเชยปีหน้า ซึ่งล็อตแรกที่กำลังจะเข้าคณะรัฐมนตรีในวันที่ 14 ตุลาคมนี้ 6 แสนกว่าราย ใช้งบกลางประมาณ 6,100 กว่าล้านบาท หลังจากนั้นจะใช้มติคณะรัฐมนตรีอนุมัติเป็นรอบ ๆ ไป โดยไม่รอให้สิ้นสุดภัยแล้วอนุมัติทีเดียว 2. โครงการเร่งด่วน 2 โครงการที่เมื่อ 2 สัปดาห์ที่แล้ว ได้ไปตรวจเยี่ยมที่อยุธยา คือ 1. บางบาล-บางไทร ฝากให้กรมชลประทาน โดยสำนักงานก่อสร้างขนาดใหญ่ช่วยเร่งรัดดำเนินการให้เสร็จได้เร็วกว่าแผนในปี 73-74 เพื่อจะเกิดประโยชน์และแก้ไขปัญหาได้มากพอสมควร และโครงการที่ 2 คือ ป่าสัก-อ่าวไทย ทราบว่าขณะนี้ คกก.สิ่งแวดล้อมแห่งชาติ รอสรุปผลที่กรมชลประทานดำเนินการ หากสรุปผลได้เร็วและส่งเข้า คกก. ได้เร็ว โครงการก็จะสามารถนับ 1 ได้เร็ว ซึ่งโครงการนี้จะเป็นทางออกหลัก ๆในการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมในลุ่มน้ำเจ้าพระยา เพราะสามารถตัดน้ำออกไปได้ 800-900 วินาที ถือว่าเยอะมาก เป็นการแก้ระยะยาวได้เร็วที่สุด และเรื่องที่ 3. ทุ่งรับน้ำ ที่ปัจจุบันนี้มีอยู่ 10 ทุ่งรับน้ำ ที่สามารถเอาน้ำเข้าเติมได้เวลาเกิดฤดูน้ำหลากในช่วงที่ผ่านมาได้เพิ่มเติม จึงขอให้กรมชลประทานเร่งทำข้อตกลง สร้างความเข้าใจกับประชาชน เพราะการเอาน้ำเข้าทุ่ง สิ่งสำคัญที่สุดต้องไม่ทำให้เขาเดือดร้อน ซึ่งถ้าทำได้จะได้พื้นที่เพิ่มประมาณ 400-500 ล้านลูกบาศก์เมตร
ผู้ว่าฯ ชัยนาท กล่าวว่า ชัยนาทประสบอุทกภัย 2 ส่วน คือ 1. เหนือเขื่อน จะเกิดอุทกภัยเมื่อบานประตูหน้าเขื่อนเจ้าพระยา ยกระดับที่ 17 เมตร ทำให้ 3 อำเภอด้านบน คือ อ.เมืองชัยนาท อ.มโนรมย์ และอ.วัดสิงห์ รวม 11 ตำบล ได้รับผลกระทบจากน้ำเอ่อ (น้ำสูงขึ้น) เดือดร้อน 270 ครัวเรือนตั้งแต่วันที่ 9 – 22 ก.ย. ที่ผ่านมา ปัจจุบัน สถานกาณ์ด้านเหนือเขื่อนคลี่คลายเรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่ 22 กันยายน
และ 2. อำเภอท้ายเขื่อนเจ้าพระยา คือ อ.สรรพยา 5 ตำบล โดยเขื่อนได้ปล่อยน้ำสูงสุด เมื่อวันที่ 4 ต.ค. อยู่ที่ 2,500 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ซึ่งส่งผลให้น้ำเอ่อล้นคันดินที่ป้องกันอยู่ที่ได้เพียง 2,300 ลูกบาศก์เมตร และเมื่อตรวจสอบความแข็งแรงพบว่า คันดินเริ่มยุ่ยและรับน้ำไม่ไหว จึงสั่งอพยพชาวบ้านทั้งหมด ซึ่งขณะนี้มีประชาชน อ.สรรพยา เดือดร้อน 5 ตำบล ประมาณ 1,700 ครัวเรือน โดยประชาชนทุกคนปลอดภัย ทั้งนี้ การที่ประชาชนมาใช้ชีวิตบนถนนเป็นวิถีชีวิตของชาวบ้านซึ่งจะไม่ไปอยู่ศูนย์พักพิง เพราะกลางวันเขาจะไปดูบ้านของเขา และกลางคืนมานอนบนถนน สำหรับความเสียหายพืชไร่ ประมาณ 400 ไร่ หากระดับน้ำลดลง เหลือที่ 2,200 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ท้ายเขื่อนจะดีขึ้น และน้ำจะไหลลงแม่น้ำเจ้าพระยาโดยทางธรรมชาติ ควบคู่กับการจัดเตรียมเครื่องสูบน้ำไว้ 50 เครื่อง เพื่อสูบน้ำออกจากพื้นที่ต่ำ
ด้านการช่วยเหลือเยียวยา ได้มีการแจกถุงยังชีพแล้ว 3,700 ถุง ตามนโยบายนายกรัฐมนตรีที่ว่า “ชีวิตสำคัญ ทรัพย์สินสามารถจะหาใหม่ได้หรือชดเชยแก้ไขได้ แต่ชีวิตไม่สามารถหาได้ ไม่สามารถชดเชยแทนได้” โดยการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคตัดไฟชั้นล่างทั้งหมด บางครอบครัวไม่ได้ออกมาเพราะเป็นบ้านใต้ถุนเรือนสูง และหลังจากนี้ ได้มีการประชุมซักซ้อมกับอำเภอและนายกเทศมนตรีในพื้นที่ทั้งหมดแล้วว่า เมื่อน้ำลด เราจะเข้าไปปรับปรุงแก้ไขและช่วยบำรุงรักษาให้อาคารบ้านเรือนกลับมาให้ประชาชนใช้ชีวิตได้เหมือนเดิม
เลขา สทนช. กล่าวว่า จากการคาดการณ์สถานีด้านบนคือ C2 จ.นครสวรรค์ ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 18 ปริมาณน้ำที่ผ่านสถานี C2 จะอยู่ที่ประมาณ 2,400-2,700 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที โดย สทนช. และกรมชลประทานประมาณการในช่วงครึ่งหลังของเดือนสถานการณ์จะอยู่ในภาวะปกติ และเมื่อระดับน้ำลดลงเหลือที่ระดับ 1,700 ลูกบาศก์เมตร ก็จะได้เร่งระบายน้ำจากทุ่งรับน้ำลงสู่เจ้าพระยาและไหลลงสู่ทะเล เพื่อให้เหตุการณ์กลับสู่ภาวะปกติ
สำหรับการแก้ปัญหาระยะยาวที่ท่านนายกฯ ได้เร่งรัดดำเนินโครงการบางบาล-บางไทร จะเป็นตัวสำคัญอันนึงที่จะช่วยระบายน้ำในช่วงฤดูน้ำหลาก เพิ่มอัตราการระบายมากขึ้น และยังมีโครงการชัยนาท-ป่าสัก และป่าสัก-อ่าวไทย ขณะนี้อยู่ระหว่างปรับปรุงรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม และเมื่อผ่านคณะกรรมการแล้วคาดว่าจะได้เข้าสู่กระบวนการคณะกรรมการของสภาพัฒน์ในเดือนพฤศจิกายน ซึ่งโครงการเหล่านี้หากสำเร็จจะช่วยให้ตัดน้ำได้ก่อนจะถึงเขื่อนเจ้าพระยา ช่วยให้ประชาชนท้ายเขื่อนเจ้าพระยาลดผลกระทบได้อีก และทำให้การบริหารจัดการน้ำในภาพรวมเกิดประสิทธิภาพสูงสุด เกิดประโยชน์อย่างยั่งยืน
กองสารนิเทศ สป.มท.
ครั้งที่ 839/2568 วันที่ 10 ต.ค. 2568