วันนี้ (21 พฤศจิกายน 2568) นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานเปิดโครงการพัฒนาศักยภาพอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) สู่สาธารณสุขยุคพัฒนา ภายใต้แนวคิด “อสม.เชื่อมต่อเทคโนโลยีสู่ชุมชน” โดยมี นายพัฒนา พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นางสาวศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย นายเชษฐา โมสิกรัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนนทบุรี พร้อมด้วยข้าราชการ เจ้าหน้าที่ และเครือข่าย อสม. จากทั่วประเทศกว่า 3,000 คนเข้าร่วม ณ อิมแพ็คอารีน่า เมืองทองธานี จังหวัดนนทบุรี
นายอนุทิน กล่าวว่า วันนี้ระบบสาธารณสุขของไทยได้ก้าวเข้าสู่ “ยุคพัฒนาที่แท้จริง” จากนโยบาย “หมอไม่ล้า ประชาชนไม่รอ เชื่อมต่อทุกบริการผ่านเทคโนโลยี” ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้ประชาชนได้รับบริการที่สะดวก รวดเร็ว และเท่าเทียม โดยมี พี่น้องอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมโยงระหว่างหมอและประชาชนในทุกพื้นที่ เป็นผู้ส่งต่อข้อมูล เป็นด่านหน้าที่เข้าถึงชุมชน และเป็นแรงสนับสนุนสำคัญที่ช่วยให้ประเทศไทยรับมือกับโรคระบาดโควิด-19 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ จนเป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ
“การเป็น อสม. ต้องมี “อินเนอร์จากใจ” อยากเห็นคนรอบข้างมีความสุข จึงรวมตัวกันเป็นเครือข่ายดูแลประชาชนจนเติบโตเป็นกำลังสำคัญกว่า 1 ล้านคนในวันนี้ รัฐบาลให้ความสำคัญอย่างยิ่งและต้องการผลักดันให้อสม. เป็นต้นแบบผู้นำการเปลี่ยนแปลงด้านสุขภาพในชุมชน ทั้งด้านการป้องกันโรค การสื่อสารข้อมูลสุขภาพ การพัฒนาฝีมืออาชีพ รวมถึงการเป็นผู้ช่วยแพทย์ทั้งแผนไทยและแผนปัจจุบัน เพื่อต่อยอดให้เกิดความมั่นคงและยกระดับคุณภาพชีวิตทั้งประชาชนและอสม. ไปพร้อมกัน” นายอนุทิน กล่าว
นายอนุทิน กล่าวต่อไปว่า สังคมไทยในปัจจุบันนี้เราได้ก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งจำเป็นต้องมีระบบดูแลผู้สูงอายุ ผู้ที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ และผู้ป่วยติดเตียง ซึ่งต้องเน้นย้ำว่า “ทุกคนมีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์เท่าเทียมกัน” และไม่ควรมองผู้สูงอายุว่าเป็นภาระ แต่คนกลุ่มนี้คือ “ผู้ที่มีภาวะพึ่งพิงในชุมชน” ที่เราต้องช่วยกันดูแล ให้ความสำคัญ เพราะทุกท่านยังกำลังที่มีคุณค่า สามารถร่วมสร้างสรรค์สังคมได้ หากได้รับการดูแลสุขภาพอย่างเหมาะสม โดยบทบาทของ อสม. จะยิ่งทวีความสำคัญในการดูแลคนกลุ่มนี้ให้ปลอดภัย แข็งแรง และมีคุณภาพชีวิตที่ดีมากยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ เราต้องใช้ความเข้มแข็งของระบบสาธารณสุขไทย ขยายผลให้เกิดความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจในระดับประเทศด้วย แนวคิด “Medical Tourism” ผ่านการเปิดโอกาสให้ผู้ป่วยต่างชาติเดินทางเข้ามารักษาในประเทศไทย ด้วยมาตรฐานทางการแพทย์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ พยาบาล และระบบบริการที่ครบครัน ประกอบกับการที่เรามีพี่น้อง อสม. เป็นผู้ที่สามารถถ่ายทอดองค์ความรู้ต่าง ๆ ในการดูแลพี่น้องประชาชนทั่วประเทศได้อย่างทั่วถึง ซึ่งจะทำให้ไทยกลายเป็นจุดหมายด้านสุขภาพที่คุ้มค่าและน่าเชื่อถือของต่างชาติ เป็นการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ที่สร้างรายได้อย่างยั่งยืนในอนาคต
นายอนุทิน กล่าวในช่วงท้ายว่า ขอบคุณพี่น้อง อสม. ทุกคนที่ทุ่มเท เสียสละ และทำงานด้วยหัวใจเพื่อประชาชน และข้อย้ำว่ารัฐบาลจะเดินเคียงข้างทุกภาคส่วนเพื่อร่วมกันสร้างระบบสาธารณสุขของไทยให้เข้มแข็ง ทันสมัย และยั่งยืน เพื่อให้ประชาชนทุกคนได้รับการดูแลที่ดีที่สุดต่อไปในทุกมิติของชีวิต
กองสารนิเทศ สป.มท.
ครั้งที่ 902/2568 วันที่ 21 พ.ย. 2568
