วันนี้ (22 พ.ย. 68) เวลา 11.59 น. นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานมอบนโยบายรัฐบาลและภารกิจสำคัญของกระทรวงมหาดไทย ณ ศูนย์การประชุมและแสดงสินค้านานาชาติไคซ์ ขอนแก่น อำเภอเมืองขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น โดยมี นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย นายชัยวัฒน์ ชื่นโกสุม รองปลัดกระทรวงมหาดไทย หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านสาธารณภัยและพัฒนาเมือง นายพรพจน์ เพ็ญพาส อธิบดีกรมที่ดิน นายนฤชา โฆษาศิวิไลซ์ อธิบดีกรมการปกครอง นายธีรพัฒน์ คัชมาตย์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย นายธีรุตม์ ศุภวิบูลย์ผล อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น นายขจรเกียรติ รักพานิชมณี ผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น นายราชันย์ ซุ้นหั้ว ผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี พร้อมหัวหน้าส่วนราชการ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สมาชิกสภาท้องถิ่นจำนวนมากกว่า 1,000 คน ร่วมรับฟัง
นายอนุทิน กล่าวว่า วันนี้มีความตั้งใจจะมาพบปะกับเพื่อนข้าราชการและพี่น้องผู้นำท้องที่ ท้องถิ่นจังหวัดขอนแก่น แต่จากการติดตามสถานการณ์ได้ทราบว่า เหตุการณ์อุทกภัยที่ภาคใต้ทวีความรุนแรงมากขึ้น จึงได้มีกำหนดจะเดินทางไปที่อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ในบ่ายนี้ ภายหลังจากที่พบกับเพื่อนข้าราชการที่จังหวัดขอนแก่น
“การที่เรามาพบกันที่นี้ถือเป็นการทําความรู้จักคุ้นเคยกัน โดยมีผู้บริหารกระทรวงมหาดไทยและผู้เกี่ยวข้องในการขับเคลื่อนนโยบายต่าง ๆ ของรัฐบาลมาร่วมด้วย และแม้ว่ารัฐบาลชุดนี้จะมีเวลาไม่นานนัก เพราะเราเข้ามาเพื่อทำให้การเมืองมีความเป็นปกติสุข และคืนอำนาจให้กับพี่น้องประชาชน แต่ “การทำงานเพื่อพี่น้องประชาชนจะหยุดนิ่งไม่ได้ ถอยหลังไม่ได้ หรือจะไม่ทำอะไรเลยเพื่อรอเลือกตั้งอย่างเดียวก็ไม่ได้” จึงต้องเดินนโยบายต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์กับพี่น้องประชาชนควบคู่ไปด้วยอย่างมีประสิทธิภาพเต็มที่ ด้วยการใช้ทุกองคาพยพทําให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับประชาชน จึงมีนโยบาย Quick Big Win คำว่า Quick รวดเร็ว Big ครอบคลุม Win เกิดประโยชน์กับพี่น้องประชาชนให้มากที่สุด“
นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวถึงนโยบาย “โครงการคนละครึ่งพลัส” ซึ่งทำให้การหมุนเวียนของเงินเกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้นอย่างเห็นได้ชัด และที่สำคัญคือ “พี่น้องประชาชนล้วนแล้วแต่มีความพึงพอใจ” ทำให้สามารถจับจ่ายใช้สอย เพียงออกเงินครึ่งเดียวและอีกครึ่งนึงทางรัฐช่วยสนับสนุนให้ คนซื้อก็ซื้อของได้มากขึ้น คนขายก็ขายของได้มากขึ้น “วิน วิน” นอกจากนี้ยังได้มอบนโยบายสำคัญ ได้แก่
1. “การจัดระเบียบสังคมและปราบปรามผู้มีอิทธิพล” เพื่อทำให้สังคมของเรามีความสงบเรียบร้อย โดยย้ำว่า “ความสุจริตของเจ้าหน้าที่รัฐเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุด” ต้องไม่มีส่วนร่วม ไม่สนับสนุน ไม่สร้างความอยุติธรรมให้กับประชาชนที่ถูกรังแก เพราะคนเหล่านี้คือส่วนเกินของสังคมไทย เป็นส่วนที่สังคมไทยไม่ต้องการ และเป็นส่วนที่ทำให้สภาพบ้านเมืองของเราไม่สามารถขับเคลื่อนไปได้ เป็นอุปสรรคในการพัฒนาประเทศ ต้องไม่เกรงใจคนเหล่านี้ เราต้องให้ความสำคัญในการปราบปราม โดยมุ่งปราบปรามคนเหล่านี้ให้หมดไป ทั้งนายอำเภอ ตำรวจ ฝ่ายปกครอง ผู้ว่าราชการจังหวัด ต้องนำตัวคนเหล่านี้ดำเนินคดีตามกฎหมาย โดยหากเป็นข้าราชการการเมืองหรือข้าราชการประจำก็ต้องถูกดำเนินคดีทั้งวินัยและอาญา
2. “การแก้ไขปัญหายาเสพติด” ซึ่งที่ผ่านมาเน้นการจับกุม แต่การฟื้นฟูยังทำได้ไม่ทั่วถึง ทำให้ผู้เสพกลับมาใช้ยาเสพติดซ้ำ รัฐบาลจึงดำเนินนโยบาย “ลดผู้เสพ เพิ่มผู้รักษา ปราบปรามผู้ค้า และทำลายแหล่งผลิตอย่างจริงจัง” พร้อมทั้งกล่าวชื่นชมศูนย์พักคอยเพื่อผ่านการบำบัดยาเสพติด (Community Isolation : CI) อำเภอเมืองขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น ที่ดำเนินการอย่างครบวงจร พร้อมฝากให้ขยายผลส่งเสริมการฟื้นฟูถึงระดับชุมชน โดยให้จัดตั้ง “ศูนย์ฟื้นฟูระดับชุมชน” พร้อมทั้งเร่งค้นหาผู้ติดยาเสพติดในทุกหมู่บ้านเพื่อให้เขาได้รับการฟื้นฟูบำบัดรักษา ซึ่งการดำเนินการฟื้นฟูระดับชุมชนจะทำให้เกิดการติดตาม (Follow Up) เพื่อป้องกันไม่ให้เขาไปใช้ยาเสพติดซ้ำ โดยใช้สมาชิกในชุมชนช่วยดูแลให้กำลังใจผู้ประสบปัญหาควบคู่กับการปราบปรามผู้ค้าอย่างเด็ดขาด ต้องเริ่มจากสแกนอำเภอ สแกนตำบล สแกนหมู่บ้าน และเมื่อสามารถลดการค้ายาเสพติดในระดับชุมชนได้สำเร็จ จะส่งผลทำให้ภาพรวมระดับประเทศลดลง
ขณะเดียวกัน การบูรณาการร่วมของตำรวจ ฝ่ายปกครอง ทหาร และ ป.ป.ส. ตอนนี้เราสามารถจับกุมผู้ค้าได้มากขึ้น และทำให้บุคคลเหล่านั้นเกิดอุปสรรค เพราะแต่ละรอบที่จับได้ พวกลักลอบค้ายาเสพติดก็ต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบ ปรับเปลี่ยนวิธีการในการขนถ่ายขนย้าย เปลี่ยนช่องทาง เปลี่ยนภูมิภาคในการขนย้าย ซึ่งก็ไม่เป็นอุปสรรคและไม่สามารถเล็ดลอดสายตาของเจ้าหน้าที่รัฐไปได้ ซึ่งล่าสุดได้อนุมัติรถเอ็กซเรย์ยาเสพติดเป็นรถโมบายเอ็กซ์เรย์ยาเสพติด จำนวน 4 คันให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อใช้ในการสแกนการขนถ่ายลำเลียงยาเสพติด ซึ่งคาดว่าเราจะสามารถป้องกันการค้ายาเสพติดกระบวนการค้ายาเสพติดได้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น “พร้อมฝากทุกภาคส่วนช่วยกันสอดส่องในหมู่บ้าน/ชุมชน” ไม่ให้มีการนำยาเสพติดเข้ามาค้า เข้ามาขาย และการดำเนินคดีต้องเด็ดขาด “1 เม็ดก็ผิด”
3. “การสร้างอาชีพสร้างรายได้เพิ่มให้กับพี่น้องประชาชน” เพราะรายได้ของพี่น้องประชาชนคือหัวใจของการพัฒนาชีวิตของพวกเขา ดังนั้น ต้องช่วยกันสนับสนุนการรวมกลุ่มอาชีพเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นให้มีมาตรฐานและให้มีตลาดที่เขาสามารถขายขายสินค้าเพื่อสร้างรายได้ โดยให้ทุกจังหวัดช่วยกันทำ “แผนงานสร้างอาชีพและเพิ่มรายได้ที่สามารถวัดผลได้จริง” ด้วยการเชื่อมโยงกับนโยบายของรัฐบาล คือ การสนับสนุนสินค้าไทย อาทิ OTOP ที่มีกรมการพัฒนาชุมชนรับผิดชอบ ต้องพัฒนาองค์ความรู้ผู้ประกอบการควบคู่เพิ่มช่องทางการจำหน่ายสินค้าทั้งระดับจังหวัด ระดับภูมิภาค และระดับประเทศ ทำงานอย่างมีแผน มีหลักวิชาการ มีหลักการตลาด ว่าสินค้าเหล่านี้ควรทำ สินค้าเหล่านั้นไม่ควรทำ เพราะทำไปก็ขายไม่ได้ มูลค่าเพิ่มก็ไม่มี “สินค้า OTOP คนต้องซื้อที่คุณภาพ ไม่ใช่ซื้อด้วยความสงสาร หรือซื้อเหมาเข่ง”
4. “การส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชน” เพื่อเป็นช่องทางให้เกิดเงินทุนหมุนเวียนในพื้นที่ สร้างรายได้ กระจายรายได้ในพื้นที่โดยตรง โดยเน้นจุดแข็งทางด้านวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณี และธรรมชาติ ซึ่งในแต่ละจังหวัดในแต่ละพื้นที่ก็จะมีจุดแข็งที่เราสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยว ทำให้มีเงินทุนหมุนเวียนในประเทศไม่แพ้คนต่างชาติมาเที่ยวในประเทศไทย พร้อมชื่นชม “ขอนแก่นเป็นทั้งเมืองท่องเที่ยวได้ มาทำการค้าได้ เป็นเมืองที่เป็นศูนย์กลางความเจริญในภาคอีสาน เป็นเมืองที่ทันสมัย” มีต้นทุนทั้งด้านศาสนา วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียม พืชผลทางการเกษตร และอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ เป็นศูนย์กลางแห่งการสร้างเศรษฐกิจในเขตอีสานควบคู่ไปกับจังหวัดใกล้เคียง และเป็นชุมทางของรถไฟความเร็วสูงและรถไฟรางคู่ เชื่อมไปยังจังหวัดอุดรธานีที่เป็นจังหวัดขนาดใหญ่ รวมถึงจังหวัดหนองคาย ซึ่งขณะนี้ รัฐบาลไทยได้ทําความตกลงกับรัฐบาล สปป.ลาว ในการใช้วิธีการตรวจสินค้าพิธีการศุลกากรที่รวดเร็วที่สุด และเชื่อมเส้นทางการคมนาคมขนส่งเพื่อทำให้เราสามารถส่งสินค้าไปทางประเทศจีนตอนใต้ต่อไปได้ ซึ่งจะเป็นการสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจที่เพิ่มมากขึ้น
5. ปัจจัยสาธารณูปโภคต้องมีให้พร้อม “น้ำดื่มสะอาดบริการประชาชน” ซึ่งได้กำชับให้การประปาส่วนภูมิภาคเร่งขับเคลื่อน “น้ำดื่มสะอาดบริการประชาชน” ซึ่งฟังดูอาจจะเป็นเรื่องง่าย แต่ถ้าเราบริโภคคนละ 2 ลิตรต่อวัน หรือคิดเป็นวันละ 3 ขวด แล้วมีสมาชิกในครอบครัวหลายคน จะเป็นภาระค่าใช้จ่ายของประชาชนสูงมาก ถ้าเรามีน้ำดื่มสะอาดฟรีให้กับประชาชนได้ก็จะทำให้ต้นทุนการซื้อน้ำดื่มของประชาชนลดลงไปได้มาก รวมถึงเรื่องน้ำประปาหมู่บ้าน น้ำบาดาล ที่ต้องทำให้สามารถบริการพี่น้องประชาชน เรียกว่า “น้ำไหล ไฟสว่าง ทางดี ต้องเกิดขึ้นกับทุกชุมชน” ทั้งในโรงเรียน ศูนย์เด็กเล็ก ตลาด ศูนย์กลางชุมชน และต้องไม่ใช่แค่ตั้งเครื่องกรองก็จบ แต่จะต้องมีการตรวจสอบมาตรฐานและบำรุงรักษาระบบประปาชุมชนให้มีคุณภาพสูงอยู่ตลอดเวลา เพื่อให้สุขภาพของประชาชนมีมาตรฐานที่สูง
6. เร่ง “ยกระดับการให้บริการสาธารณสุขประชาชนทุกช่วงวัย” โดยที่พี่น้องประชาชนจะต้องไม่มีค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาสุขภาพตนเองเพิ่มมากขึ้นจนไม่สามารถที่จะหารายได้มาจุนเจือครอบครัว เพราะตอนนี้เข้าสู่สังคมผู้สูงวัย เราก็จะต้องเน้นเรื่องการรักษาสุขภาพ การป้องกันโรคต่าง ๆ ด้วย ต้องป้องกันโรค ทำให้คนไม่ป่วยหรือป่วยให้น้อยที่สุด เพราะถ้าคนในบ้านป่วย คนในครอบครัวก็ต้องสูญเสียโอกาสในการสร้างรายได้ เพราะต้องมาดูแลเรา ดังนั้น รัฐจึงพยายามสร้างระบบต่าง ๆ ให้กับพี่น้องประชาชน เพื่อที่จะทำให้พี่น้องประชาชนได้มีคุณภาพชีวิตที่ดี
7. “คนละครึ่งพลัส” ทำให้ประชาชน 1. มีความสุข 2. มีความสนุกในการจับจ่ายใช้สอยด้วยความเต็มใจ และ 3. ส่งเสริมการเติบโตของเศรษฐกิจ ส่งเสริมให้พี่น้องประชาชนได้ออกมาจับจ่ายใช้สอย เจ้าหน้าที่อย่างพวกเราต้องดูแลให้พวกเขาได้ใช้สิทธิ์อย่างเต็มที่และครบถ้วน ช่วยกันให้ความสะดวกในการลงทะเบียนทั้งประชาชนและร้านค้า โดยจะต้องจัดทีมไปเยี่ยมเยียนพี่น้องในหมู่บ้าน โดยรัฐบาลได้เพิ่มการส่งเสริมการอัพสกิลให้กับผู้ประกอบการ เช่น คนขายขนมครก ผู้ประกอบการรายย่อยให้เขาได้รับการเสริมศักยภาพ เพื่อเพิ่มมูลค่าของสินค้า อาทิ การขายออนไลน์ การเรียนผ่านช่องทางออนไลน์ และเมื่อผ่านการพัฒนาศักยภาพหรือเพิ่มสกิลแล้ว ก็จะได้รับประกาศนียบัตรจากทางรัฐ เพื่อที่จะใช้เป็นหลักฐานในการขอรับการสนับสนุนหรือกู้เงินจากสถาบันการเงินเพื่อเพิ่มทุนเพิ่มศักยภาพการผลิตและจำหน่ายสินค้าต่อไป ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่จะทำให้ทุกคนมีความตื่นตัว
นอกจากนี้ยังมีในเรื่องของไฟฟ้าชุมชน ซึ่งมีแผนจะนำร่องแหล่งผลิตไฟฟ้าชุมชนละ 5-10 เมกะวัตต์ ที่สอดคล้องกับกติกาใหม่ของโลกนั่นคือ “พลังงานสีเขียว” หรือ พลังงานที่ไม่ก่อให้เกิดมลภาวะ หรือง่ายที่สุดเรียกว่า พลังงานแสงอาทิตย์ ซึ่งเมื่อผลิตไฟฟ้าของหมู่บ้าน/ชุมชนได้ ก็จะจ่ายไฟไปใช้ภายในหมู่บ้านชุมชน และหากมีพลังงานไฟฟ้าเหลือจากการประหยัดไฟก็สามารถขายคืนให้กับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เพื่อที่จะให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคซื้อและจ่ายเงินนั้นกลับเข้ามาสู่ชุมชนให้มีกองทุนในการพัฒนาชุมชน ช่วยกันสร้างสังคมที่แข็งแกร่ง รัฐช่วยดูแลสวัสดิภาพและสวัสดิการมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ดูแลกันและกัน เพื่อร่วมกันพัฒนาประเทศต่อได้
ในช่วงท้าย นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวถึง ความรักความสามัคคี ความรักและหวงแหนความเป็นไทย รักชาติ รักแผ่นดินของคนไทยอย่างเข้มแข็งเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน สะท้อนผ่านสถานการณ์ความไม่สงบพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชาที่ผ่านมา ดังนั้น ในขณะนี้เมื่อบ้านเมืองเกิดสถานการณ์ภัยธรรมชาติ พวกเราทุกคนไม่ทิ้งกัน เพราะเป้าหมายของพวกเราทุกคนคือการทำให้พี่น้องประชาชนได้รับสิ่งที่ดี และ “เมื่อประชาชนมีความสุข มีโอกาสในการสร้างรายได้ มีสุขภาพที่ดี นั่นคือ สิ่งที่เขาตอบแทนให้เราแล้ว” และทุกคนต้องมองว่า “พวกเราคือส่วนหนึ่ง ในการพัฒนาประเทศ” ต้องไม่มองว่าเป็นภาระของใครคนใดคนนึง และไม่ว่าเกิดเหตุการณ์ใดในประเทศ ตนจะเป็นคนแรกที่จะลงไปสุมหัวช่วยเหลือชาวบ้านร่วมกับทุกคน “ขอให้ทำงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ให้ประชาชนได้รับสิ่งที่ดีที่สุดมีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน”
กองสารนิเทศ สป.มท.
ครั้งที่ 968/2568 วันที่ 22 พ.ย. 2568
