วันนี้ (26 พ.ย. 68) เวลา 10.00 น. ที่ห้องประชุมศูนย์การประชุมสหประชาชาติ (UNCC) กรุงเทพมหานคร นายศักดิ์ดา วิเชียรศิลป์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานเปิดการประชุมคณะกรรมการว่าด้วยการลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติ สมัยที่ 9 (The 9th Session of the Committee on Disaster Risk Reduction for Asia and the Pacific) โดยมี คุณอาร์มิดา ซัลเซียะฮ์ อาลิสจะฮ์บานา รองเลขาธิการสหประชาชาชาติและเลขาธิการบริหารคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจและสังคมแห่งสหประชาชาติสำหรับเอเชียและแปซิฟิก (ESCAP) พร้อมด้วยคณะรัฐมนตรีกระทรวงด้านการบริหารจัดการภัยพิบัติจากประเทศสมาชิกอาเซียน รวมถึงนายสหรัฐ วงศ์สกุลวิวัฒน์ รองอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และส่วนราชการ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม กระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง กรุงเทพมหานคร และสภากาชาดไทย และผู้แทนหน่วยงานของสหประชาชาติประจำประเทศไทยเข้าร่วม
นายศักดิ์ดา เผยว่า ช่วงเวลาที่ผ่านมาภูมิภาคของเราได้เผชิญกับบททดสอบจากสาธารณภัย ทั้งไต้ฝุ่นคัลเมกีที่ได้ก่อให้เกิดความเสียหายจากอุทกภัยอย่างรุนแรงจนมีผู้เสียชีวิตจำนวนมากในฟิลิปปินส์, ซุปเปอร์ไต้ฝุ่นวองฟุง ทำให้ประชาชนกว่าล้านคนต้องอพยพและก่อให้เกิดคลื่นพายุซัดฝั่งลูกใหม่ในพื้นที่ชายฝั่ง และเวียดนามก็เผชิญกับฝนตกหนักอย่างรุนแรงจากเส้นทางของเมฆฝนที่เคลื่อนตัวไปยังทิศตะวันตก รวมถึงช่วงต้นปีที่ผ่านมา เหตุการณ์แผ่นดินไหวขนาดใหญ่ที่เมืองมัณฑะเลย์ได้ส่งแรงสั่นสะเทือนและผลกระทบมายังประเทศไทย
“เหล่านี้ตอกย้ำความจริงที่ว่าภัยธรรมชาติไม่รู้จักพรมแดน รวมไปถึงสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ต่าง ๆ ของประเทศไทยที่ในขณะนี้กำลังส่งผลกระทบประชาชนในจังหวัดภาคใต้ของไทย ซึ่งเหตุการณ์ข้างต้นสะท้อนถึงรูปแบบที่กว้างมากขึ้นซึ่งส่งผลกระทบจากโลกร้อนได้ทวีความรุนแรงของพายุหมุนเขตร้อนจากอุณหภูมิผิวน้ำทะเลที่สูงขึ้นและปริมาณความชื้นที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้เพิ่มความเสี่ยงอุทกภัยและคลื่นพายุซัดฝั่งที่มีความรุนแรงมากกว่าเดิม และยังก่อให้เกิดคลื่นความร้อนที่ยาวนานและเกิดผลกระทบอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ “ปัจจัยด้านสภาพภูมิอากาศเดียวกันนี้” สามารถกำหนดรูปแบบเชิงอุทกวิทยาในภูมิภาคเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เมื่อผนวกกับการขยายตัวของเมืองก็ยิ่งส่งผลทำให้เกิดสภาพอากาศแบบสุดขั้วและเกิดสาธารณภัยในที่สุด“
นายศักดิ์ดา กล่าวว่า เพื่อรับมือกับความเป็นจริงข้อนี้ เราจำเป็นต้องเร่งกระบวนการรับรู้ข้อมูลความเสี่ยง เพื่อช่วยในการตัดสินใจตามบริบทของประเภทภัย และการสื่อสารข้อมูลข้ามพรมแดนระหว่างประเทศ ทำให้ข้อมูลความเสี่ยงสามารถแปลงเป็นการตัดสินใจได้อย่างทันเวลาครอบคลุมทุกประเภทภัย ทุกภาคส่วน และข้ามพรมแดน ในอนาคต ด้วยประเด็นที่สำคัญ 3 ประการ คือ
1. “ข้อมูลด้านความเสี่ยงจากภัยพิบัติต้องเป็นตัวกำหนดการตัดสินใจทั้งในระยะสั้นและระยะยาว” เพื่อเสริมสร้างความพร้อมในการรับมือและเกิดความยั่งยืนอย่างเป็นหุ้นส่วนความร่วมมือกัน ทั้งการจัดทำแผนที่เสี่ยงภัย การวิเคราะห์เพื่อการวางแผน การลงทุน และการปฏิบัติการ โดยมุ่งเน้นพัฒนาการบริหารจัดการความเสี่ยงจากคลื่นความร้อนและการวางแผนปฏิบัติการด้านสุขภาพให้มีความเหมาะสม และตระหนักถึงระดับการพัฒนาของประเทศต่าง ๆ
2. “การริเริ่มการแจ้งเตือนภัยล่วงหน้าสำหรับทุกคน” ซึ่งปัจจุบัน ประเทศไทยได้เดินหน้าใช้ระบบ Cell Broadcast สำหรับการแจ้งเตือนภัยล่วงหน้า เพื่อให้ประชาชนทุกคนได้รับข้อมูลการแจ้งเตือนภัยอย่างรวดเร็วและทั่วถึงในพื้นที่เสี่ยงภัยอย่างแม่นยำ ถูกต้อง ทันต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น นอกเหนือจากมีการดำเนินการในประเทศที่ชัดเจนแล้ว ประเทศไทยในฐานะประเทศผู้ก่อตั้งกองทุนสึนามิและการเตรียมความพร้อมจากเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (ESCAP’s Multi-donor Trust Fund for Tsunami and Climate Change Preparedness) ได้ต่อยอดสู่การเตรียมรับรับมือกับภัยพิบัติที่ครอบคลุมหลายประเภทภัย และทำให้ประชาชนสามารถมีความปลอดภัยอย่างยั่งยืน
3. “ความร่วมมือระหว่างหน่วยงาน” เป็นสิ่งที่สำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภัยพิบัติข้ามพรหมแดนที่ต้องการความร่วมมือระหว่างหลายภาคส่วน ความร่วมมือแบบไตรภาคี และความร่วมมือในระดับภูมิภาค ซึ่งประเทศไทยให้การสนับสนุนความร่วมมือระหว่างประเทศด้านการลดความเสี่ยงจากสาธารณภัย ภายในภูมิภาคอาเซียนโดยได้ประกาศใช้แผนปฏิบัติการตามความตกลงอาเซียนว่าด้วยการจัดการภัยพิบัติและการตอบโต้ภาวะฉุกเฉิน พ.ศ. 2569 – 2573 เมื่อเดือนที่ผ่านมา ในระดับภูมิภาค และประเทศไทยยังคงมีบทบาทอย่างต่อเนื่องในกิจกรรมความร่วมมือองค์การอุตุนิยมวิทยาโลก คณะกรรมาธิการเศรษฐกิจและสังคมสำหรับเอเชียและแปซิฟิกแห่งสหประชาชาติว่าด้วยพายุหมุนเขตร้อนและไต้ฝุ่น รวมถึงระบบการแจ้งเตือนภัยและบรรเทาผลกระทบสึนามิในมหาสมุทรอินเดียและแปซิฟิก ซึ่งล้วนเป็นเวทีที่ให้ประเทศสมาชิกแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในเรื่องภัยพิบัติแบบข้ามพรหมแดน
“ขอเชิญชวนให้ประเทศสมาชิกร่วมแรงร่วมใจสนับสนุนและดำเนินการในการแก้ไขปัญหาร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องระบบการแจ้งเตือนภัย การตอบโต้ภัยพิบัติเพื่อรักษาชีวิต และการดำรงชีวิตของประชาชน ร่วมกันแบ่งปันข้อมูลเพื่อการเสริมสร้างความตระหนักรู้ด้านความเสี่ยง การยกระดับการประเมินความเสี่ยง และการส่งเสริมการจัดการความเสี่ยงจากสาธารณภัยโดยอาศัยชุมชนเป็นฐานเพื่อเสริมสร้างการพึ่งพาตนเองในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงไม่ว่าจะเป็น อุทกภัย พายุหมุนเขตร้อน หรือคลื่นความร้อน ซึ่งล้วนเป็นตัวอย่างสำคัญของความเสี่ยงข้ามพรมแดนที่จำเป็นต้องได้รับการแก้ไขร่วมกัน และย้ำว่า ประเทศไทยพร้อมร่วมมือกับประเทศสมาชิก สำนักงานเลขาธิการคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจและสังคมสำหรับเอเชียและแปซิฟิกแห่งสหประชาชาติ ตลอดจนภาคีต่าง ๆ เพื่อขับเคลื่อนวาระความร่วมมือที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของข้อมูลด้านความเสี่ยงและไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง“
กองสารนิเทศ สป.มท.
ครั้งที่ 981/2568 วันที่ 26 พ.ย. 2568
