วันนี้ (16 พ.ค. 66) นายภูสิต สมจิตต์ ผู้ว่าราชการจังหวัดพิษณุโลก เปิดเผยว่า คุณภาพชีวิตที่ดีของพี่น้องประชาชนเป็นสิ่งที่ภาครัฐต้องให้ความสำคัญและมุ่งมั่นในการส่งเสริมให้เกิดกลไกการบูรณาการเพื่อเสริมสร้างคุณภาพชีวิตที่มั่นคงและยั่งยืน ด้วยปัจจัยพื้นฐานของการดำรงชีวิตประจำวัน นั่นคือ ปัจจัย 4 อันประกอบด้วย อาหาร ยา เครื่องนุ่งห่ม และที่อยู่อาศัย ซึ่งทั้ง 4 ประการนี้ ล้วนเป็นองค์ประกอบที่มีความเกื้อกูลเกื้อหนุนเชื่อมโยงกัน นำไปสู่ความอยู่ดีมีสุขของพี่น้องประชาชนทุกคน และเป็นเป้าหมายสำคัญที่กระทรวงมหาดไทยได้ขับเคลื่อนโดยพลังความร่วมมือของ “ทีมบูรณาการในพื้นที่” โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ ตลอดจนภาคีเครือข่ายทั้ง 7 ภาคี คือ ภาคราชการ ภาคผู้นำศาสนา ภาควิชาการ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม ภาคประชาชน และภาคสื่อสารมวลชน ร่วมพุ่งเป้าส่งเสริมให้เกิดการทำให้พี่น้องประชาชนได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน
“จังหวัดพิษณุโลก เมืองสองแควที่ต้องประสบพบกับสภาพอากาศที่หลากหลาย ทั้งความแห้งแล้งในช่วงหน้าร้อน และเผชิญกับสถานการณ์น้ำท่วมอุทกภัยในช่วงหน้าฝน ซึ่งเป็นปัจจัยทางธรรมชาติที่ทางจังหวัดและภาคีเครือข่ายต้องร่วมมือกันในการบริหารจัดการ รุก รับ ปรับตัว เพื่อทำให้ประชาชนได้รับผลกระทบให้น้อยที่สุด หรือหากได้รับผลกระทบแล้ว ก็ต้องสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้เป็นปกติให้เร็วที่สุด ดังพระบรมราโชบายของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ได้พระราชทานให้กับข้าราชการทุกคนในการช่วยเหลือพี่น้องประชาชนผู้ประสบภัยให้ได้รับการช่วยเหลือเพื่อกลับมาใช้ชีวิตได้เป็นปกติสุขโดยเร็วซึ่งเป็นพระราชดำริที่มีลักษณะเป็น “ยาฝรั่ง” คือ เป็นการช่วยเหลือในเบื้องต้น พร้อมทั้งพระราชทานคำแนะนำในลักษณะ “ยาไทย” คือ การสร้างความยั่งยืน ด้วยการสืบสาน รักษา และต่อยอด พระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร โดยน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และทฤษฎีใหม่ที่มีมากกว่า 40 ทฤษฎีมาประยุกต์ใช้ในการสร้างเครื่องมือให้กับประชาชนสามารถปรับตัวและใช้ชีวิตได้อย่างพึ่งพาตนเอง มีภาครัฐเป็นเพียงที่ปรึกษาในการส่งเสริมสนับสนุน หรือเรียกได้ว่า “ประชาชนพึ่งพาตนเองด้วยความสุข ราชการหนุนเสริมเติมเต็มให้ยั่งยืน”” นายภูสิตฯ กล่าว
นายภูสิต สมจิตต์ ผู้ว่าราชการจังหวัดพิษณุโลก กล่าวต่ออีกว่า กระทรวงมหาดไทยได้กำหนดนโยบายด้านการเสริมสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืนให้กับพี่น้องประชาชนด้วยการน้อมนำพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาเป็นหลักชัยในการ Change for Good เสริมสร้างสิ่งที่ดี โดยจังหวัดพิษณุโลก ได้นำแนวนโยบายดังกล่าว มุ่งสร้างพลังการมีส่วนร่วมจากภาคีเครือข่ายในพื้นที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ภาคีเครือข่ายผู้นำศาสนา” และ “ภาคีเครือข่ายภาคประชาชน” ด้วยการน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ทฤษฎีด้านการบริหารจัดการน้ำ รวมถึงหลักการทรงงานของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และพระราชดำริด้านการสร้างความมั่นคงด้านอาหารของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี “ทางนี้มีผลผู้คนรักกัน” มาต่อยอดส่งเสริมขยายผล ด้วยแนวทางพระดำริ “หมู่บ้านยั่งยืน (Sustainable Village)” ของสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ซึ่งประสบความสำเร็จแล้วที่บ้านวังส้มซ่า ตำบลท่าโพธิ์ อำเภอเมืองพิษณุโลก จังหวัดพิษณุโลก ขยายผลมาสู่ “แปลงผัก : พระทำ – รอบกำแพงแก้ว – อุโบสถวัดสระโคล่โสภาราม” ริมคลองสระโคล่ หรือที่ประชาชนในพื้นที่รู้จักกันในชื่อ “คลองโคกช้าง” ซึ่งไหลไปลงแม่น้ำน่านที่ประตูน้ำเขตตำบลวัดพริก ตำบลหัวรอ อำเภอเมืองพิษณุโลก ด้วยการประสานพลังความร่วมมือระหว่างวัดและชุมชน ร่วมใจกันปลูกพืชผักสวนครัว อาทิ ต้นกะเพรา โหระพา พริก มะเขือ บริเวณรอบกำแพงแก้ว อุโบสถหลังใหม่ ด้านนอก เพื่อนำผลผลิตใช้ในโรงครัวของวัด และให้ชาวบ้านได้เก็บไปใช้บริโภคในครัวเรือนและแจกจ่ายชาวบ้านในชุมชน อันเป็นการลดรายจ่ายในครัวเรือน โดยในส่วนของคณะสงฆ์นั้น ได้รับเมตตาจาก พระอธิการทองหล่อ อโสโก เจ้าอาวาสวัดสระโคล่โสภาราม นำคณะสงฆ์ร่วมแรงแข็งขันเป็นแบบอย่างให้กับชาวบ้านในพื้นที่ ขณะเดียวกัน ภาคีเครือข่ายภาคประชาชน โดยปราชญ์ชาวบ้านคนสำคัญ คือ “อาจารย์ขวัญทอง สอนศิริ (อ.โจ้)” เป็นผู้นำการเชิญชวนชาวบ้านมาร่วมลงแขกปลูกพืชผักสวนครัว และชักชวนภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง เช่น นายอำเภอเมืองพิษณุโลก นายกเทศมนตรีตำบลหัวรอ จัดรถน้ำมาช่วยฉีดรดน้ำสวนผักรอบกำแพงแก้ว เพื่อช่วยบำรุงรักษาสวนผักรอบกำแพงแก้วรอบอุโบสถ อันเป็นเขตพุทธาวาสหนึ่งเดียวในพิษณุโลกแห่งนี้ ในช่วงที่อากาศกำลังร้อนแล้งในช่วงนี้ในทุกสัปดาห์ ขณะเดียวกัน ในด้านการเตรียมการบรรเทาผลกระทบจากสถานการณ์น้ำท่วมในช่วงหน้าฝนนั้น ชาวตำบลหัวรอ ทั้งผู้นำท้องถิ่น คือ องค์การบริหารส่วนจังหวัดพิษณุโลก เทศบาลตำบลหัวรอ ผู้นำท้องที่ คือ ชมรมกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ภาคราชการ คือ หน่วยพัฒนาการเคลื่อนที่ 34 ภาคเอกชน และภาคประชาชน อาทิ คุณศรีไพร ไทยแท้ ศิลปินแหล่พื้นบ้าน ได้ร่วมกันสนับสนุนเครื่องจักรกล น้ำมันเชื้อเพลิง และทีมงานกำลังคนในการขุดลอก เก็บ ผักตบชวาในคลองสระโคล่ เป็นระยะทางกว่า 3 กิโลเมตร เพื่อเปิดทางน้ำในการรองรับน้ำในคลองสระโคล่ที่รับน้ำมาจากคลองสาขาที่ไหลมาจากขุนเขาในเขตตำบลดอนทอง ตำบลบ้านป่า อำเภอเมืองพิษณุโลก และในเขตอำเภอวัดโบสถ์ต่อไป
“สิ่งเหล่านี้ คือ ตัวอย่างการ Change for Good สร้างสรรค์สิ่งที่ดีให้เกิดขึ้นอย่างยั่งยืน ด้วยพลังของภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วน ที่ล้วนแล้วแต่เกิดจาก “จิตอาสา” ของประชาชนในพื้นที่ โดยมี “นายอำเภอเมืองพิษณุโลก” เป็นผู้นำการบูรณาการบำบัดทุกข์ บำรุงสุขให้กับพี่น้องประชาชนและพื้นที่อำเภอเมืองพิษณุโลก อันสอดคล้องกับการขับเคลื่อนโครงการอำเภอบำบัดทุกข์ บำรุงสุข แบบบูรณาการอย่างยั่งยืน และโครงการหมู่บ้านยั่งยืน (Sustainable Village) เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ที่ได้ดำเนินการ ณ หมู่ 3 (บ้านตาปะขาวหาย – ศาลาช่องฟ้า) ตำบลหัวรอ และสวนผัก พระทำ รอบกำแพงแก้ว อุโบสถวัดสระโคล่โสภาราม แห่งนี้ ซึ่งเป็นการขับเคลื่อนด้วยยุทธศาสตร์ “บวร ราช พลัง” คือ “บ้าน : วัด : โรงเรียน : ราชการสานเสริม : เพิ่มเติมด้วยพลังมวลชนและเอกชน 5 ประสาน นำการพัฒนา ราษฎร์ร่วมแรงรัฐพัฒนา ประชามีสุข” ซึ่งล้วนแล้วแต่เชื่อมโยงสอดคล้องกัน เพราะด้วยเป้าหมายเดียวกัน คือ “ความสุขที่ยั่งยืนของพี่น้องประชาชนคนพิษณุโลก” อันเป็นความมุ่งมั่นตั้งใจของกระทรวงมหาดไทย โดยผู้ว่าราชการจังหวัดพิษณุโลก และนายอำเภอเมืองพิษณุโลก ที่มุ่งเสริมสร้างพลังการมีส่วนร่วม พลังแห่งความสามัคคี พลังแห่งการระดมความคิดเห็น เพื่อสร้างสรรค์และพัฒนาเมืองพิษณุโลกแห่งนี้ให้เป็นเมืองแห่งความสุขของประชาชนทุกคนด้วยมือของประชาชนเอง และเราจะไม่หยุดนิ่งที่จะพัฒนาพื้นที่อื่น ๆ แต่จะทำให้พื้นที่นี้เป็นพื้นที่ความสำเร็จแห่งที่ 2 และจะสร้างแห่งที่ 3 แห่งที่ 4 และทำให้ครบทุกพื้นที่ของจังหวัดพิษณุโลกต่อไป ด้วยจิตวิญญาณของความเป็นข้าราชการที่ดีในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง ยึดการพัฒนาเป็นหน้าที่ ยึดสิ่งที่ดีเป็นเป้าหมายการทำงาน เพราะ “การพัฒนา เหมือนทำข้อสอบ : คำตอบอยู่ที่หมู่บ้าน” และท้ายที่สุดประชาชนทุกคนจะมีความสุขในพื้นที่ “หมู่บ้านยั่งยืน” นั่นเอง” นายภูสิตต์ฯ กล่าวในช่วงท้าย
กองสารนิเทศ สป.มท.
ครั้งที่ 441/2566 วันที่ 16 พ.ค. 2566
