เมื่อวันที่ 30 มิ.ย. 66 ที่วัดศรีบุญชุม ตำบลศรีถ้อย อำเภอแม่ใจ จังหวัดพะเยา นายประชา เตรัตน์ หัวหน้าคณะทำงานนิเทศโครงการอำเภอบำบัดทุกข์ บำรุงสุข แบบบูรณาการอย่างยั่งยืน และโครงการหนึ่งตำบล หนึ่งหมู่บ้านยั่งยืน (Sustainable Village) กระทรวงมหาดไทย นำคณะทำงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ นายปรีชา ทองคำ ผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย เขตตรวจราชการที่ 17 นายวินัย โตเจริญ ผู้ตรวจราชการกรมการปกครอง นางณิชพลัฏฐ์ วรรณคำ ผู้แทนผู้ตรวจราชการกรมการพัฒนาชุมชน นายวิชัย หนูเจริญ ผู้ตรวจราชการกรมที่ดิน นายกฤษณะ พินิจ ผู้อำนวยการสำนักพัฒนาและส่งเสริมการบริหารราชการจังหวัด และคณะ ร่วมลงพื้นที่นิเทศติดตามการขับเคลื่อนโครงการอำเภอบำบัดทุกข์ บำรุงสุข แบบบูรณาการอย่างยั่งยืน และโครงการหนึ่งตำบล หนึ่งหมู่บ้านยั่งยืน (Sustainable Village) โดยได้รับเมตตาจาก พระครูประยุตสีลสุนทร เจ้าคณะตำบลศรถ้อย เจ้าอาวาสวัดศรีบุญชุม นำคณะผู้บริหารจังหวัดพะเยา ซึ่ง ว่าที่ร้อยตรี ณรงค์ โรจนโสทร ผู้ว่าราชการจังหวัดพะเยา มอบหมายให้ นายบำรุง สังข์ขาว รองผู้ว่าราชการจังหวัดพะเยา นำนายพีรัช จันธิมา นายอำเภอแม่ใจ หัวหน้าส่วนราชการ ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้านในพื้นที่ ร่วมให้การต้อนรับ และรับการตรวจติดตาม
นายประชา เตรัตน์ หัวหน้าคณะทำงานนิเทศโครงการฯ กล่าวว่า กระทรวงมหาดไทยได้กำหนดแนวทางในการเสริมสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืนให้กับพี่น้องประชาชนคนไทย โดยน้อมนำแนวพระดำริ “หมู่บ้านยั่งยืน” ของสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา และประกาศเจตนารมณ์ของผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดที่ได้ร่วมประกาศกับผู้ประสานงานสหประชาชาติประจำประเทศไทย “76 จังหวัด 76 คำมั่นสัญญา เพื่อการพัฒนา เพื่อความเท่าเทียม เพื่อความยั่งยืน “โลกนี้เพื่อเรา”” ร่วมกับทุกจังหวัดขับเคลื่อนโครงการหนึ่งตำบล หนึ่งหมู่บ้านยั่งยืน (Sustainable Village) ด้วยการน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงและทฤษฎีใหม่ของ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ส่งเสริมการพึ่งพาตนเอง และน้อมนำแนวพระราชดำริด้านการเสริมสร้างความมั่นคงทางอาหาร ของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี “บ้านนี้มีรัก ปลูกผักกินเอง” และ “ทางนี้มีผล ผู้คนรักกัน” แนวทางการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม ด้วยการจัดทำถังขยะเปียกลดโลกร้อน และการบริหารจัดการขยะตั้งแต่ต้นทาง (ครัวเรือน) มีการแบ่งพื้นที่เป็นหย่อมบ้าน กลุ่มบ้าน เพื่อดูแลสมาชิกในหมู่บ้าน รวมทั้งการส่งเสริมศิลปะ วัฒนธรรม ประเพณี ถ่ายทอดส่งต่อให้กับรุ่นลูกรุ่นหลานเพื่อให้เกิดความรู้รักสามัคคี ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ โดยมี “นายอำเภอ” เป็นผู้นำทีมอำเภอ อันประกอบด้วย ทีมที่เป็นทางการ คือ ข้าราชการ นำโดยปลัดอำเภอประจำตำบล บุคลากรของทุกส่วนราชการในพื้นที่ ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ฯลฯ และทีมจิตอาสา อันประกอบด้วย ภาคีเครือข่ายทั้ง 7 ภาคี คือ ภาคราชการ ภาคผู้นำศาสนา ภาควิชาการ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม ภาคประชาชน และภาคสื่อสารมวลชน ภายใต้ชื่อ “โครงการอำเภอบำบัดทุกข์ บำรุงสุข แบบบูรณาการอย่างยั่งยืน” อันเป็นการตอกย้ำถึงบทบาทของนายอำเภอ ในฐานะผู้นำการบูรณาการของพื้นที่ เพื่อบำบัดทุกข์ บำรุงสุข ให้กับพี่น้องประชาชน โดยมีเป้าหมายคือ “ประชาชนทุกคนสามารถพึ่งพาตนเองได้ เป็นโอกาสที่ต่อยอดไปสู่การสร้างงาน สร้างรายได้ สร้างอาชีพ ให้แก่คนในชุมชน เสริมสร้างเศรษฐกิจฐานรากให้มั่นคงอย่างยั่งยืน”
ด้านนายบำรุง สังข์ขาว รองผู้ว่าราชการจังหวัดพะเยา กล่าวว่า จังหวัดพะเยาได้ขับเคลื่อนโครงการอำเภอบำบัดทุกข์ บำรุงสุข แบบบูรณาการอย่างยั่งยืน และโครงการหนึ่งตำบล หนึ่งหมู่บ้านยั่งยืน (Sustainable Village) ด้วยการน้อมนำพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว “สืบสาน รักษา และต่อยอด” ด้วยการเน้นย้ำให้ทุกอำเภอได้น้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงทำให้ประชาชนได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีบนหลักการพึ่งพาตนเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การส่งเสริมโครงการพัฒนาพื้นที่ต้นแบบการพัฒนาคุณภาพชีวิตตามหลักทฤษฎีใหม่ประยุกต์สู่โคก หนอง นา ซึ่งในพื้นที่อำเภอแม่ใจ ได้มีพื้นที่ต้นแบบ คือ “โคก หนอง นา เนื้อนาบุญ” หมู่ 12 ตำบลศรีถ้อย ซึ่งเป็นพื้นที่ต้นแบบในการสร้างความมั่นคงทางอาหาร และการทำเกษตรแบบยั่งยืน ส่งเสริมการทำทฤษฎีใหม่ประยุกต์ใช้สู่แปลงโคก หนอง นา พร้อมกับมีกิจกรรมรณรงค์ส่งเสริมให้เด็กและเยาวชนได้ปลูกพืชผักสวนครัวในสถานศึกษาและศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ตามพระราชดำริของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เพื่อให้เด็กและเยาวชนมีองค์ความรู้และมีต้นแบบการดำรงชีวิตที่สามารถพึ่งพาตนเองได้ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นในสร้างคลังอาหารชุมชน ทำให้ประชาชนทุกคนมีกินมีใช้ เกิดความรักความสามัคคี เกิดความเข้มแข็งของคนในชุมชน ประชาชนทุกคนมีความสุข นำไปสู่การเป็นหมู่บ้านยั่งยืน (Sustainable Village)
นายพีรัช จันธิมา นายอำเภอแม่ใจ กล่าวว่า อำเภอแม่ใจ เป็นอำเภอต้นแบบในการขับเคลื่อนโครงการอำเภอบำบัดทุกข์ บำรุงสุข แบบบูรณาการอย่างยั่งยืน ดังปรากฏเป็นที่ประจักษ์จากการได้รับคัดเลือกเป็น 1 ใน 18 อำเภอนำร่อง บำบัดทุกข์ บำรุงสุขของกระทรวงมหาดไทย เมื่อปี 2565 โดยการลงพื้นที่นิเทศติดตามการขับเคลื่อนงานในวันนี้ อำเภอแม่ใจได้นำคณะทำงานลงพื้นที่ศึกษาปัจจัยแห่งความสำเร็จ 3 พื้นที่ ได้แก่ 1) วัดศรีบุญชุม ตำบลศรีถ้อย โดยรับฟังการบรรยายผลการดำเนินงานโคก หนอง นา โมเดล เนื้อนาบุญในพื้นที่วัด โดยพระครูประยุตสีลสุนทร เจ้าคณะตำบลศรีถ้อย เพื่อเป็นศูนย์การเรียนรู้ ให้แก่ประชาชนในพื้นที่ และศึกษาการปลูกผักสวนครัว รั้วกินได้ของชาวบ้านบริเวณวัด 2) โรงเรียนแม่ใจวิทยาคม รับฟังการบรรยายจากนักเรียนโรงเรียนแม่ใจวิทยาคม ในการน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ตามจุดต่าง ๆ ของโรงเรียน ไม่ว่าจะเป็นการทำปุ๋ยโบกาฉิ การทำระบบน้ำหยดอัตโนมัติจากพลังงานแสงอาทิตย์ การทำน้ำหมักชีวภาพ การทำน้ำส้มควันไม้ การตรวจจุลินทรีย์ในน้ำ และห้องเรียนรู้พระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ถือเป็นการส่งเสริมให้เด็กนักเรียนได้เรียนรู้ศาสตร์พระราชาและนำไปปรับใช้ในครัวเรือน และ 3) สวนลุงวิชัย (สวนลิ้นจี่ต้นแรกของจังหวัดพะเยา) แปลงเรียนรู้การผลิตไม้ผลอัตลักษณ์ที่ได้มาตรฐาน รับฟังการน้อมนำศาสตร์พระราชา มาปรับใช้กับสวนลิ้นจี่โดยการทำให้เป็นสวนอินทรีย์ จนประสบผลสำเร็จ ส่งผลให้ลิ้นจี่มีราคาสูงขึ้นและเป็นที่ต้องการของตลาดจนไม่พอจำหน่าย และลงพื้นที่ดูฝายห้วยป่ากล้วย ฝายชะลอน้ำแก้ไขปัญหาน้ำไม่เพียงพอในการทำเกษตร
นายประชา เตรัตน์ หัวหน้าคณะทำงานนิเทศโครงการ ฯ กล่าวภายหลังการลงพื้นที่นิเทศติดตามการขับเคลื่อนงาน ว่า ขอบคุณทีมงานจังหวัด ทีมอำเภอ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และภาคีเครือข่ายในพื้นที่จังหวัดพะเยา ที่ได้ร่วมกันทำงานด้วยความมุ่งมั่น ตั้งใจในการแก้ไขปัญหาให้กับประชาชน ดังปณิธาน “บำบัดทุกข์ บำรุงสุข” อย่างต่อเนื่อง จนเกิดมรรคผล เกิดผลงานเป็นที่ประจักษ์ถึงความร่วมแรงร่วมใจ การประสานพลังความสามัคคีของคนในพื้นที่ และขอฝากให้ทีมอำเภอฯ ได้ร่วมกันสร้างฝายชะลอน้ำในพื้นที่ภูเขา โดยการน้อมนำศาสตร์พระราชา คือ “การปลูกป่าโดยไม่ต้องปลูก” เพื่อแก้ไขปัญหาเรื่องน้ำ และส่งเสริมการทำเกษตรอินทรีย์ อย่างต่อเนื่องให้ครอบคลุมขยายผลทั่วทั้งพื้นที่ เพื่อจะทำให้เกิดประโยชน์กับพี่น้องประชาชนได้อย่างแท้จริง ยังผลทำให้ประชาชนในพื้นที่ได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน
กองสารนิเทศ สป.มท.
ครังที่ 628/2566 วันที่ 30 มิ.ย. 2566
