วันนี้ (22 ก.ย. 66) เวลา 11.00 น. นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ตรวจเยี่ยมและให้กำลังใจศูนย์เรียนรู้ทฤษฎีใหม่ รูปแบบ โคก หนอง นา แปลงนางคำเพียร เสาวดี หมู่ที่ 10 ตำบลนาฝาย อำเภอเมืองชัยภูมิ จังหวัดชัยภูมิ โดยมี นายโสภณ สุวรรณรัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดชัยภูมิ นายสมศักดิ์ เจริญไพฑูรย์ รองอธิบดีกรมการปกครอง นายวิฑูรย์ นวลนุกูล รองอธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน นายรัฐพล นราดิศร รองอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย นายเอกวิทย์ มีเพียร รองอธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ร่วมตรวจเยี่ยม
นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า ในวันนี้ตนและคณะมีความดีใจและชื่นใจที่เห็นครอบครัวของพี่คำเพียร เสาวดี ผู้มีความมุ่งมั่นตั้งใจในการน้อมนำแนวพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ด้วยการสืบสาน รักษา และต่อยอด แนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในเรื่องหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และทฤษฎีใหม่ ด้วยการประยุกต์สู่โคก หนอง นา หรือที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานแนวคิดนี้ว่า “อารยเกษตร” อย่างเข้มแข็ง โดยอาศัยความอดทนในการปรับปรุงคุณภาพดิน ในการที่จะทำให้พื้นที่ของตนเองแค่ 3 ไร่ พอเลี้ยงสมาชิกในครอบครัวทั้ง 4 ชีวิตให้มีความสุข โดยจุดเด่นของพื้นที่นี้ คือ ไม่มีปัญหาเรื่องน้ำในหน้าแล้ง เพราะได้จัดทำขุดสระไว้อย่างดี ถือว่าพี่คำเพียร เสาวดี เป็นต้นแบบที่ดีของพี่น้องคนไทยทุกคนที่หวังที่จะมีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน เพราะคำว่า “ยั่งยืน” ต้องสามารถมีอาหารการกินของเราเองตลอดทั้งปี พี่เขาก็ช่วยกันปลูกกล้วย ปลูกสิ่งที่กินได้ รวมทั้งตะไคร้ หัวข่า เลี้ยงปลาหลายชนิด ซึ่งก็ได้แนะนำให้มีการเลี้ยงกบเพิ่มเติมด้วย
“นอกจากนี้ในส่วนที่เป็นแหล่งน้ำที่สามารถกักเก็บน้ำไว้ใช้ ก็ยังสามารถทำเล้าไก่ เล้าเป็ด เลี้ยงเป็ด เลี้ยงไก่ กินไข่ได้ด้วย ซึ่งจากการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในวันนี้ จะทำให้ครัวเรือนพี่คำเพียร เสาวดี เป็นครัวเรือนต้นแบบที่สมบูรณ์ และสามารถรองรับให้พี่น้องที่สนใจมาศึกษาเรียนรู้ได้โดยไม่เก็บเงินค่าเข้าชม แล้วยังมีส้มตำจากผลผลิตพืชผักสวนครัว ผลไม้ในโคก หนอง นา เลี้ยงอีกด้วย ซึ่งเรื่องนี้ถือเป็นสิ่งสำคัญที่กระทรวงมหาดไทยได้ขับเคลื่อน โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดและนายอำเภอเป็นผู้นำในระดับพื้นที่ร่วมกับภาคีเครือข่ายดำเนินการส่งเสริมอย่างต่อเนื่อง เพราะเราพยายามทำให้เกิด “แหล่งอาหาร” ครบทุกครัวเรือน ทำให้ 14 ล้านครัวเรือน มีความมั่นคงด้านอาหารโดยการน้อมนำเอาแนวพระราชดำริของ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี “บ้านนี้มีรัก ปลูกผักกินเอง” และ “ทางนี้มีผล ผู้คนรักกัน” ทั้งนี้ ในส่วนของครัวเรือนที่มีที่ดิน มีพื้นที่ว่างจำนวนมากกว่า 1 – 2 ไร่ เราก็เชิญชวนให้ช่วยกันในการที่จะมาปรับปรุงพื้นที่ของตัวเอง เพื่อให้มีความสวยงาม มีครบทั้งพื้นที่ที่เป็นดอนและเป็นโคก เพื่อปลูกไม้ยืนต้น ไม้ใช้สอย หรือไม้ที่เป็นอาหาร ออกผล ออกใบ เป็นอาหารได้ และยังสร้างความร่มเย็นให้กับครอบครัวและพื้นที่ โดยสามารถใช้เงินจากการเก็บออมมาร่วมกันเชิญชวนสมาชิกในชุมชนหรือพรรคพวกเพื่อนฝูงร่วมกันลงแขกเอามื้อสามัคคีโดยไม่ต้องใช้งบราชการแต่สำหรับครัวเรือนที่ขัดสน ไม่มีงบประมาณ ก็สามารถแสดงความจำนงยื่นต่อที่ว่าการอำเภอ เพื่อให้นายอำเภอได้บูรณาการร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและภาคีเครือข่าย ลงแขกเอามื้อสามัคคี พัฒนาพื้นที่ของพี่น้องประชาชนให้เป็นพื้นที่แห่งความยั่งยืน มีกินมีใช้ในพื้นที่ของตนเองได้ตลอดทั้งปี” นายสุทธิพงษ์ฯ กล่าว
นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวอีกว่า กระทรวงมหาดไทยมุ่งมั่นขับเคลื่อนโครงการพัฒนาพื้นที่ต้นแบบการพัฒนาคุณภาพชีวิตตามหลักทฤษฎีใหม่ประยุกต์สู่โคก หนอง นา อย่างต่อเนื่องต่อไป เพื่อทำให้พี่น้องที่มีกำลังได้เห็นต้นแบบตัวอย่างที่ดีว่ามีพื้นที่ที่อุดมสมบูรณ์ ร่มเย็น มีความสุข โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่จังหวัดชัยภูมิ ในฤดูแล้งก็มีปัญหาเรื่องน้ำ ดินแห้งผาก หญ้าเป็นสีน้ำตาล โดยหากพี่น้องประชาชนได้มาเรียนรู้ในพื้นที่แปลงโคก หนอง นา ของพี่คำเพียร เสาวดี จะทำให้ได้มีแนวคิดในการพัฒนาพื้นที่ให้มีความเขียวชอุ่มทั้งปี มีน้ำทั้งปี และสามารถเป็นแหล่งที่ทำให้ตัวเองมีอาหารการกิน มีความสุขได้ตลอดทั้งปี
“ผมขอยืนยันว่า ทั้งในทางทฤษฎีและในทางปฏิบัติ การที่พวกเราได้น้อมนำทฤษฎีใหม่ของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร มาใช้ในชีวิตประจำวัน มาใช้ในชีวิตจริงของเรา จะทำให้พวกเรามีความสุขอย่างยั่งยืน และช่วยทำให้โลกใบนี้มีความร่มเย็นเป็นสุข ลดปัญหาโลกร้อนได้โดยแท้จริง ดังที่ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ได้นำแนวคิดโครงการ โคก หนอง นา เป็นส่วนหนึ่งในการนำเสนอในการประชุมสมัชชาใหญ่สหประชาชาติ เพื่อแชร์ความคิด วิถีเกษตรของไทย ในรูปแบบของการหันมาพึ่งพาตนเอง เพื่อเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นทางรอด เสริมสร้างความรู้ให้คนในโลก ได้มีอาชีพ เพิ่มรายได้ อย่างมีความสุข เป็นการดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และลดผลกระทบด้านสภาพภูมิอากาศได้อย่างยั่งยืน” นายสุทธิพงษ์ฯ กล่าวในช่วงท้าย
ด้าน นางคำเพียร เสาวดี กล่าวว่า ตนได้เข้าร่วมโครงการ โคก หนอง นา กรมการพัฒนาชุมชน เมื่อปี 2565 จำนวน 3 ไร่ โดยมีความตั้งใจในการเข้าร่วมโครงการเพื่อพัฒนาพื้นที่ให้เกิดการสร้างงาน สร้างรายได้ และเติมเต็มความสุขให้ครอบครัว สืบเนื่องจากตนเองมีความชอบในการทำการเกษตร ชอบเพาะปลูก เลี้ยงสัตว์ เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว โดยภายในแปลงได้มีการปลูกไม้ผล พืชสมุนไพร ได้แก่ กระชาย ขิง ข่า ตะไคร้ กล้วย ฝรั่ง และมะพร้าวน้ำหอม เต็มพื้นที่ทั่วบริเวณคันนาและตามเเนวคลองไส้ไก่ สิ่งเหล่านี้ล้วนทำให้เกิด “ความสุขที่ได้ทำ ได้ใช้เวลาว่างทำในสิ่งที่รัก ช่วยลดรายจ่าย และเพิ่มรายได้ให้กับครอบครัว และเป็นศูนย์เรียนรู้ให้กับผู้สนใจได้เยี่ยมชม”
กองสารนิเทศ สป.มท.
ครั้งที่ 885/2566 วันที่ 22 ก.ย. 2566