เมื่อวันที่ 28 ธ.ค. 66 เวลา 11.00 น ที่ห้องภานุมาศ ชั้น 10 โรงแรมรอยัล ริเวอร์ กรุงเทพมหานคร นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานพิธีมอบหนังสือพระราชทานสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน โดยพระราชประสงค์ในพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เล่มที่ 43 ฉบับพระราชทาน ให้แก่ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด และผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ในฐานะประธานกรรมการศึกษาธิการจังหวัด สำหรับนำไปมอบให้แก่โรงเรียนต่าง ๆ เพื่อใช้ในการศึกษา
โอกาสนี้ นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย จุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย เปิดกรวยกระทงดอกไม้ถวายธูปเทียนแพถวายความเคารพพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แล้วเชิญหนังสือสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชนฯ เล่มที่ 43 ฉบับพระราชทาน วางบนพานเบื้องหน้าพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จากนั้น ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และผู้ว่าราชการจังหวัด 76 จังหวัด เข้ารับหนังสือสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชนฯ เล่มที่ 43 ฉบับพระราชทาน เบื้องหน้าพระบรมฉายาลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นอันเสร็จพิธี
นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้มูลนิธิโครงการสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน โดยพระราชประสงค์ในพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร จัดพิธีมอบหนังสือสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชนฯ เล่มที่ 43 ฉบับพระราชทานแก่ปลัดกระทรวงมหาดไทยเบื้องหน้าพระบรมฉายาลักษณ์ เพื่อเชิญไปมอบแก่ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด ในฐานะประธานคณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัด จำนวน 9,416 เล่ม จากนั้น ผู้ว่าราชการจังหวัดจะได้เชิญไปมอบให้แก่สถานศึกษาเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในการศึกษาต่อไป
“พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชปณิธานอันมุ่งมั่นในการสืบสาน รักษา ต่อยอด พระราชปณิธานในพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ด้วยการนำเอาองค์ความรู้ที่แตกต่างกันตามหมวดสาขาวิชาต่าง ๆ ให้นักวิชาการ ผู้รู้ ช่วยกันเรียบเรียงในภาษาที่ง่าย เผยแพร่ไปสู่เด็ก เยาวชน และผู้ใหญ่ ในทุกจังหวัด ทำให้ทั้งผู้ปกครอง ครูบาอาจารย์ เด็ก และเยาวชน ได้มีโอกาสในการที่จะแสวงหาองค์ความรู้ที่แตกต่างหลากหลาย ซึ่งจะเป็นพื้นฐานในการที่จะทำให้เด็กสามารถเติบใหญ่ และทำให้ผู้ใหญ่สามารถแนะนำลูกหลาน ให้มีความรู้และความเข้าใจในสิ่งต่าง ๆ ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ใหญ่มาก และที่สำคัญที่สุด ทรงมีพระราชดำริให้จัดทำสารานุกรมในรูปแบบ E-Book ด้วย อันจะยิ่งทำให้เรื่องราวต่าง ๆ ในสารานุกรมสามารถแพร่กระจายไปสู่ประชาชนทุกวัยได้โดยง่าย นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณที่พระราชทานให้กับพวกเราชาวไทย” นายสุทธิพงษ์ฯ กล่าวเพิ่มเติม
นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวต่ออีกว่า หนังสือชุดสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชนฯ ถือกำเนิดขึ้นด้วยพระมหากรุณาธิคุณในพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ที่มีพระราชประสงค์จะให้มีหนังสือที่รวบรวมความรู้แขนงต่าง ๆ เพื่อให้พสกนิกรได้มีโอกาสอ่านและศึกษาหาความรู้ด้วยตนเอง ซึ่งได้ริเริ่มดำเนินการในปีพุทธศักราช 2511 โดย พลโท พระยาศัลวิธานนิเทศ รับสนองพระราชประสงค์เกี่ยวกับการจัดทำหนังสือสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน โดยได้รับพระราชทานเงินจำนวนหนึ่ง เพื่อเป็นทุนในการจัดทำและได้ดำเนินงานมาจนถึงพุทธศักราช 2562 และต่อมาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้โครงการสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน เปลี่ยนสถานะเป็นมูลนิธิ โดยใช้ชื่อว่า “มูลนิธิโครงการสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน โดยพระราชประสงค์ในพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร” และพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ใช้เงินและทรัพย์สินของโครงการสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชนฯ เป็นทุนเริ่มแรก ในการจดทะเบียนจัดตั้งมูลนิธิ ทั้งยังมีพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ โปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เป็นองค์ที่ปรึกษา และมีนายแพทย์เกษม วัฒนชัย เป็นประธานกรรมการมูลนิธิฯ
“สำหรับหนังสือสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชนฯ เล่มที่ 43 ฉบับพระราชทาน เล่มนี้ มีสาระที่น่าสนใจรวม 8 เรื่อง ได้แก่ 1. ประเพณีสิบสองเดือน มีเนื้อหาว่าด้วยงานประเพณีต่าง ๆ ในวิถีไทยที่มีขึ้นประจำเดือนต่าง ๆ สะท้อนให้เห็นถึงวิถีชีวิต คติความเชื่อ และจิตใจอันดีงามของคนไทยที่มีมาตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน เช่น เทศกาลสงกรานต์ การรดน้ำขอพรผู้ใหญ่ ประเพณีแห่เทียนพรรษา ประเพณีตักบาตรเทโว ประเพณีทอดกฐินและผ้าป่า 2. ชาวมอญในประเทศไทย มีเนื้อหาว่าด้วยมอญ ซึ่งเป็นชนชาติเก่าแก่แต่โบราณ บางส่วนยังอยู่ทางตอนใต้ของประเทศเมียนมา และชาวไทยเชื้อสายมอญ ที่มีชุมชนมอญกระจายอยู่มากถึง 37 จังหวัด โดยชาวมอญสามารถอยู่ร่วมกับชาวไทยได้เป็นอย่างดี ขณะที่ชาวมอญเหล่านั้นยังคงรักษาธรรมเนียมประเพณีความเชื่อของชนชาติไว้ได้ ทำให้สามารถรักษาวัฒนธรรมประเพณีดั้งเดิมไว้ให้ปรากฏแม้จนปัจจุบัน 3. การศึกษาแบบวิถีไทย มีเนื้อหาว่าด้วยเรื่องการศึกษาตามทัศนะและวิธีการของไทย ที่เน้นการเล่าเรียนซึ่งกลมกลืนไปกับวิถีชีวิต วิถีทางศาสนา และวิถีทางวัฒนธรรม การศึกษา มีทั้งสถาบันครอบครัว สถาบันศาสนา และระบบโรงเรียนทำงานประสานสอดคล้องกัน การศึกษาแบบวิถีไทยจึงเป็นกระบวนการพัฒนาชีวิตที่เจริญและพัฒนาเปลี่ยนแปลงไปอย่างสอดคล้องกับกาลเวลาและสิ่งแวดล้อม 4. กัญชงและกัญชา พืชทั้งสองอย่างเป็นพืชล้มลุกที่มีอายุเพียงปีเดียว และอยู่คู่กับมนุษย์มานานหลายพันปีแล้ว ในปัจจุบันกัญชงสามารถใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย เช่น ทำเป็นเครื่องนุ่งห่ม กระดาษ อาหาร ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร และเครื่องสำอาง ขณะที่กัญชาซึ่งเป็นพืชตระกูลเดียวกัน นิยมปลูกเพื่อใช้เป็นยารักษาโรคหรือใช้ในการป้องกันบำบัดโรคเบื้องต้น แต่ต้องอยู่ในความควบคุมของรัฐ 5. การเพาะเลี้ยงไส้เดือนดิน ซึ่งเป็นสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง ไม่มีขา ลำตัวยาวเป็นปล้อง มีทั้งชนิดที่อยู่ผิวหน้าดินและชนิดที่ขุดรูอยู่ใต้ดิน เมื่อไส้เดือนดินกินเศษผักผลไม้จะถ่ายมูลออกมาผสมลงไปในดินทำให้ได้ปุ๋ยหมักที่เป็นประโยชน์ต่อการเจริญเติบโตของพืช การเพาะเลี้ยงไส้เดือนดินจึงมีประโยชน์ทั้งในด้านการกำจัดเศษวัสดุอินทรีย์ ช่วยลดปริมาณขยะ และทำให้ได้ปุ๋ยอินทรีย์ที่มีคุณภาพดีเพื่อใช้ทดแทนปุ๋ยเคมีราคาแพงด้วย 6. การบริหารจัดการลุ่มน้ำโดยชุมชน เพราะน้ำเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดอย่างหนึ่งในการดำรงชีวิตของมนุษย์ ทางหนึ่งที่ทุกคนจะสามารถช่วยเหลือชุมชนของตนเองให้มีน้ำใช้ได้ตลอดทั้งปี คือ การช่วยกันดูแลรักษา หาแนวทางในการจัดการ และพัฒนาแหล่งน้ำในชุมชนด้วยความร่วมมือร่วมใจจากทุกคน และน้อมนำแนวพระราชดำริเรื่อง “เกษตรทฤษฎีใหม่” “ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” รวมทั้งแนวทาง “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” มาใช้ประโยชน์ เพื่ออนาคตที่ยั่งยืน 7. ดาราจักร ศัพท์ภาษาไทยของคำว่า Galaxy หมายถึง ระบบขนาดใหญ่ของดาวฤกษ์จำนวนหลายพันล้านถึงหลายแสนล้านดวงที่รวมกันอยู่ จนเกิดเป็นรูปร่างต่าง ๆ เช่น ดาราจักรของเรามีชื่อว่าดาราจักรทางช้างเผือก เพราะดาวฤกษ์ส่วนใหญ่ที่เป็นองค์ประกอบของดาราจักรนี้ปรากฏอยู่ในบริเวณท้องฟ้าที่เรียกว่า ทางช้างเผือก ดาราจักรประกอบด้วยดาวฤกษ์ เทหวัตถุ ที่อยู่ระหว่างดาวฤกษ์ หลุมดำมวลยวดยิ่งซึ่งอยู่ที่ศูนย์กลางของดาราจักร และสสารมืดที่อยู่รอบนอกของดาราจักร และ 8. โรคหลอดเลือดสมอง สมองซึ่งเป็นหนึ่งในอวัยวะสำคัญที่สุดของร่างกายต้องการเลือดมาหล่อเลี้ยงการทำงานอยู่เสมอ โรคหลอดเลือดสมองไม่ว่าจะเป็นอาการตีบ ตัน หรือแตก ล้วนทำให้สมองทำงานผิดไปจากปกติ และถ้ามีความรุนแรงมากก็อาจถึงแก่ชีวิตได้ การรู้จักวิธีสังเกตอาการ และการป้องกันสาเหตุของโรคหลอดเลือดสมอง เช่น การเลิกสูบบุหรี่ และการรับประทานอาหารที่ถูกต้อง ออกกำลังกายอย่างเหมาะสม จึงช่วยลดความเสี่ยงและอันตรายของการเป็นโรคหลอดเลือดสมองได้” นายสุทธิพงษ์ฯ กล่าวในช่วงท้าย
กองสารนิเทศ สป.มท.
ครั้งที่ 1312/2566 วันที่ 28 ธ.ค. 2566
