น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล เลขานุการ รมว.มหาดไทย และ โฆษกกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า ตามที่ได้ปรากฎข้อมูลข่าวในสื่อมวลชนว่า เมื่อวันที่ 29 มี.ค. 67 ได้มีผู้ยื่นฟ้องคณะรัฐมนตรี (ครม.) และ รมว.มหาดไทย ต่อศาลปกครองกลาง กรณีใช้อำนาจอนุมัติให้นำที่ราชพัสดุและที่ดินสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ไปใช้ในโครงการจัดรูปที่ดินเพื่อพัฒนาพื้นที่จังหวัดพิษณุโลกบริเวณหนองตาเหี่ยม ต.อรัญญิก อ.เมืองพิษณุโลก จ.พิษณุโลก นั้น
กรมโยธาธิการและผังเมืองในฐานะผู้ดูแลเรื่องการจัดรูปที่ดิน และได้ชี้แจงว่า โครงการนี้เป็นการดำเนินการตามแผนพัฒนาเมืองให้เป็นไปตามผังเมืองพิษณุโลกมีการอนุมัติโครงการตั้งแต่ปลายปี 58 ซึ่งบางส่วนของโครงการมีการใช้ที่ราชพัสดุซึ่งได้รับการอนุมัติให้ใช้ที่ดินโดย ครม. ในรัฐบาลที่ผ่านมา เมื่อวันที่ 5 ก.ค. 66 ซึ่งก่อนจะเสนอ ครม.พิจารณาอนุมัติ กระทรวงมหาดไทย โดยกรมโยธาธิการและผังเมืองได้หารือ ขอความเห็นหน่วยงานต่างๆ และผ่านการพิจารณาคณะกรรมการที่เกี่ยวข้องตามขั้นตอนของกฎหมาย
“ท่านอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย ได้ทราบเรื่องและแม้จะเป็นเรื่องที่อนุมัติในรัฐบาลที่แล้วแต่ท่านก็ให้ความสำคัญติดตามที่มาที่ไปของเรื่อง และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมข้อมูลให้พร้อมในกรณีที่ศาลพิจารณาแล้วรับคำฟ้องก็ให้ว่าไปตามขั้นตอน เพราะทุกอย่างสามารถชี้แจงได้ การดำเนินกระบวนการต่าง ๆ ผ่านขั้นตอนมีเอกสารชัดเจน โดยท่านให้นโยบายเจ้าหน้าที่ว่าการฟ้องร้องเหล่านี้ไม่ได้เป็นเรื่องที่ต้องกังวล เนื่องจากเป็นการใช้สิทธิทางกฎหมายปกติที่ประชาชนสามารถยื่นต่อศาลปกครองได้หากพบว่ามีโครงการใดของรัฐอาจดำเนินการไม่ชอบ หรือละเมิดสิทธิประชาชน แล้วศาลท่านจะพิจารณาตามข้อมูลหลักฐานและให้ความเป็นธรรมเอง ซึ่งหน้าที่ของทุกคนก็มีเพียงการดำเนินการตามขั้นตอนและเคารพกฎหมาย และเคารพศาล” น.ส.ไตรศุลี กล่าว
โฆษกกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า กรมโยธาธิการและผังเมือง ในฐานะหน่วยงานหลักที่ดูแลการดำเนินโครงการจัดรูปที่ดิน ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับโครงการจัดรูปที่ดินเพื่อพัฒนาพื้นที่บริเวณหนองตาเหี่ยม ต.อรัญญิก อ.เมืองพิษณุโลกว่า เป็นโครงการพัฒนาเมืองให้เป็นไปตามผังเมืองเมืองพิษณุโลก เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนในพื้นที่ให้ดีขึ้น โครงการได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการจัดรูปที่ดินเพื่อพัฒนาพื้นที่ส่วนจังหวัดพิษณุโลก เมื่อวันที่ 19 พ.ย. 58 และประกาศโครงการในราชกิจจานุเบกษาเมื่อ 3 ธ.ค. 58 มีพื้นที่รวมทั้งสิ้น 1,404-3-20 ไร่ (ครอบคลุมพื้นที่สวนสาธารณะเฉลิมพระเกียรติ ร.9 แล้ว) โดยโครงการนี้ได้จัดเวทีรับฟังความคิดเห็น ณ เวทีกลางสวนเฉลิมพระเกียรติฯ เมื่อวันที่ 26 พ.ย. 63 และยังเปิดโอกาสให้แสดงความคิดเห็นเพิ่มเติมได้อีกไม่น้อยกว่า 15 วัน ซึ่งพบว่าประชาชนส่วนใหญ่เห็นด้วยกับโครงการ
อย่างไรก็ตาม ในเวลาต่อมา เมื่อวันที่ 29 ม.ค. 64 คณะกรรมการส่วนจังหวัดมีมติเห็นชอบการขยายเขตโครงการ เป็น 1,451-2-24 ไร่ เนื่องจากจากนายศรีสุวรรณ จรรยา นายกสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อนและพวก 13 คน ได้ยื่นคัดค้านการก่อสร้างถนนผ่านสวนเฉลิมพระเกียรติฯ ต่อศาลปกครองพิษณุโลกเมื่อวันที่ 12 มี.ค. 62 ทำให้ผู้ดำเนินโครงการได้รวบรวมที่ดินของประชาชนเข้าร่วมโครงการเพื่อนำมาชดเชยเพิ่มพื้นที่ให้สามารถพัฒนาสวนสาธารณะให้มีเนื้อที่เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด ทำให้มีจำนวนประชาชนเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินแบ่งส่วนที่ดินของตนเองเพื่อร่วมโครงการจัดรูปที่ดินทั้งสิ้น 260 ราย จำนวน 589 แปลง
ทั้งนี้ นอกจากที่ดินของประชาชนและเอกชนที่มีเจ้าของกรรมสิทธิ์แล้ว การจัดรูปที่ดินตามโครงการนี้ยังมีที่ดินส่วนที่เป็นพื้นที่สวนสาธารณะเฉลิมพระเกียรติฯ 2 ส่วนหลัก ซึ่งทั้งหมดได้รับความยินยอมจากหน่วยงานที่มีหน้าที่ดูแลรักษาและใช้ประโยชน์ที่ดินตามขั้นตอนของกฎหมายแล้ว ประกอบด้วย ส่วนแรก เป็นสระประจำ ต.อรัญญิก พื้นที่ 50-0-60 ไร่ เป็นที่ดินตาม เป็นที่ดินตาม มาตรา 55(2) พ.ร.บ.จัดรูปที่ดินเพื่อพัฒนาพื้นที่ พ.ศ. 2547 (ที่ดินสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ประชาชนยังใช้ประโยชน์อยู่ แต่ได้มีการจัดที่ดินแปลงอื่นให้ใช้แทน โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว) ซึ่งราชกิจจานุเบกษาได้ประกาศที่ดินส่วนนี้แล้วเมื่อวันที่ 1 ก.ค. 65
ส่วนที่2 เป็นที่ดินราชพัสดุ เลขที่ พล 385 ขนาดพื้นที่ 104-3-64 ไร่ เป็นที่ดินตาม มาตรา 55(3)พ.ร.บ.จัดรูปที่ดินฯ (ที่สาธารณสมบัติของแแผ่นดินสำหรับใช้ประโยชน์แผ่นดินโดยเฉพาะหรือที่สงวดหรือหวงห้ามไว้ ซึ่งทางราชการไม่ประสงค์จะสงวนหรือหวงห้ามไว้อีกต่อไป และ ครม.ให้ความเห็นชอบแล้ว) ซึ่ง ครม. ได้ให้ความเห็นชอบแล้วเมื่อวันที่ 5 ก.ค. 66
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า สำหรับประเด็นที่ผู้ยื่นฟ้องต่อศาลปกครองได้มีการระบุถึงประเด็นว่าในโครงการจัดรูปที่ดินฯ ได้มีการวางแนวทำถนนเพื่อเชื่อมถนนสาย ฉ 1 กับทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 12 ทำให้พื้นที่สวนสาธารณะเกิดความเสียหาย ปิดกั้นการใช้ประโยชน์ของประชาชนนั้น กรมโธยาธิการและผังเมือง ชี้แจงว่าการก่อสร้างถนนสาย ฉ 1 อยู่ภายใต้โครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานตาม กฎกระทรวงฉบับที่ 419 (พ.ศ. 2542) ให้ใช้บังคับผังเมืองรวมเมืองพิษณุโลก พ.ศ. 2553 มีขนาดเขตทาง 30 เมตร จัดเป็นถนนสายหลัก จะทำหน้าที่เป็นถนนเชื่อมระหว่างชุมชนกับถนนสายประธานเพื่อกระจายการจราจรไปตามถนนสายรองและเป็นถนน ที่ใช้เชื่อมต่อกับบริเวณต่าง ๆ ของชุมชน มีหน้าที่ระบายการจราจรจากย่านใจกลางเมืองไปยังทิศเหนือของเมืองพิษณุโลกสู่ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 126 (ตอนเลี่ยงเมืองทิศเหนือ) รวมถึงยังเป็นการเปิดพื้นที่เพื่อรองรับการเจริญเติบโตของเมืองพิษณุโลกที่ถูกกำหนดไว้ด้วย
ส่วนประเด็นที่ผู้ยื่นฟ้องศาลปกครองแสดงข้อกังวลว่า เมื่อดำเนินการจัดรูปที่ดินแล้วอำนาจในการบริหารจัดการสวนเฉลิมพระเกียรติฯ จากเดิมที่เป็นของเทศบาลนครพิษณุโลกจะตกไปอยู่ภายใต้การควบคุมสั่งการของคณะกรรมการจัดรูปที่ดินทั้งหมดนั้น ในเรื่องนี้กรมโยาธิการและผังเมืองได้ชี้แจงว่า ตาม มาตรา 72 พ.ร.บ.จัดรูปที่ดินฯ ได้กำหนดให้ทรัพย์สินที่จัดทำขึ้นตามโครงการจัดรูปที่ดินทั้งหมดนั้นเป็นทรัพย์สินของรัฐ และยังคงอยู่ในความควบคุมของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดังนั้น อำนาจในการบริหารจัดการสวนจะยังคงเป็นของเทศบาลนครพิษณุโลก และที่ผ่านมาในการดำเนินการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับสวนเฉลิมพระเกียรติฯ ผู้ดำเนินโครงการได้ปรึกษาหารือกับเทศบาลนครพิษณุโลกเพื่อนำมาปรับปรุงการดำเนินโครงการในส่วนต่าง ๆ โดยต่อเนื่องด้วยแล้ว
“ผู้ดำเนินโครงการได้มีแนวทางการปรับปรุงสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ให้สามารถใช้ประโยชน์พื้นที่ภายในสวนได้ดียิ่ง การดำเนินการต่าง ๆ ได้ผ่านมามีส่วนร่วมให้ความคิดเห็นจากประชาชนในพื้นที่และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ชาวพิษณุโลกสามารถใช้ประโยชน์จากสวนเฉลิมพระเกียรติฯ เป็นสถานที่ออกกำลังกาย พักผ่อนหย่อนใจได้อย่างเหมาะสม ขณะที่การจัดรูปที่ดินโดยรวมได้มีการก่อสร้างถนนและขยายเขตให้บริการสาธารณูปโภคพื้นฐาน ไปในบริเวณที่ดินตาบอดลดปัญหาการเข้าถึงบริการสาธารณะของประชาชนด้วย” น.ส.ไตรศุลี กล่าว
กองสารนิเทศ สป.มท.
ครั้งที่ 545/2567 วันที่ 30 มี.ค. 2567