วันนี้ (3 พ.ค. 67) นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยถึงการแก้ไขหลักเกณฑ์ใหม่ กรณีข้าราชการส่วนท้องถิ่นและลูกจ้างประจำขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ถูกฟ้องคดีอาญาหรือต้องหาคดีอาญาและคดียังไม่ถึงที่สุด ไม่ต้องจัดทำประกันในการขอรับบำเหน็จบำนาญไว้ต่อองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต้นสังกัด สืบเนื่องจากพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการส่วนท้องถิ่น ฉบับที่ 8 พ.ศ. 2556 ได้บัญญัติเพิ่มเติมให้ยกเลิกมาตรา 51 ซึ่งเป็นมาตราที่เกี่ยวกับการตัดสิทธิการรับบำเหน็จบำนาญของข้าราชการท้องถิ่นหรือลูกจ้างประจำที่ต้องโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุด ซึ่งเป็นผลทำให้ข้าราชการส่วนท้องถิ่นแม้ต้องโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดแล้วก็ยังมีสิทธิได้รับบำเหน็จบำนาญอยู่ แต่ทว่าหลักเกณฑ์การค้ำประกันเดิม ยังไม่ได้ยกเลิกหลักเกณฑ์เกี่ยวกับคดีอาญาตามพระราชบัญญัติดังกล่าว จึงทำให้เกิดการขัดกันระหว่างหนังสือสั่งการกับพระราชบัญญัติฯ
“เพื่อเป็นการสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง ป้องกันการสับสนในทางปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ ตนจึงได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องยกเลิกหนังสือสั่งการที่เป็น “หลักเกณฑ์เดิม” ในการปฏิบัติและกำหนด “หลักเกณฑ์ใหม่” ซึ่งเป็นวิธีปฏิบัติในการขอรับบำเหน็จบำนาญของข้าราชการส่วนท้องถิ่นหรือบำเหน็จและบำเหน็จรายเดือนของลูกจ้างประจำซึ่งมีกรณีหรือต้องหาว่ากระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง หรือมีกรณีถูกฟ้องคดีอาญาหรือต้องหาคดีอาญาโดยการดำเนินการทางวินัยอย่างร้ายแรงหรือคดีอาญายังไม่ถึงที่สุดขึ้น” นายสุทธิพงษ์ กล่าวในช่วงต้น
นายสุทธิพงษ์ กล่าวต่ออีกว่า สำหรับหลักเกณฑ์ใหม่ที่กำหนดนี้มีสาระสำคัญ คือ ข้าราชการส่วนท้องถิ่นที่จะต้องจัดทำประกันในการขอรับบำเหน็จบำนาญหรือลูกจ้างประจำที่จะต้องจัดทำประกันในการขอรับบำเหน็จหรือบำเหน็จรายเดือน จะต้องมีกรณีหรือถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงและมีการดำเนินการทางวินัยยังไม่ถึงที่สุด รวมทั้งจากกรณีที่อาจถูกดำเนินการทางวินัยตามกฎหมายเฉพาะอื่นใดเท่านั้น “สำหรับข้าราชการส่วนท้องถิ่นหรือลูกจ้างประจำมีกรณีถูกฟ้องคดีอาญาหรือต้องหาคดีอาญาและคดียังไม่ถึงที่สุด ไม่ต้องจัดทำประกันใด ๆ” โดยในกรณีเป็นการค้ำประกันด้วยบุคคล หากเป็นบุคคลธรรมดาจะต้องเป็นบุคคลที่มีความสามารถในการทำนิติกรรมได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์จำนวนไม่ต่ำกว่า 2 คน หากหลังจากการพิจารณาความผิดทางวินัยแล้ว ข้าราชการส่วนท้องถิ่นหรือลูกจ้างประจำคนใดยังคงมีสิทธิได้รับบำเหน็จบำนาญหรือบำเหน็จรายเดือนอยู่ ให้ประกันที่ทำไว้เป็นอันระงับไป โดยกรณีประกันด้วยทรัพย์สินให้คืนหลักประกันภายใน 15 วันนับแต่วันที่รับทราบคำสั่ง และในส่วนของการบังคับชำระหนี้จากทรัพย์สิน ถ้าหากชำระหนี้ได้ครบถ้วนแล้วแต่ยังมีเงินคงเหลือ ให้หน่วยงานแจ้งข้าราชการส่วนท้องถิ่นหรือลูกจ้างประจำเพื่อให้มาติดต่อรับเงินที่เหลือคืนภายใน 3 เดือนนับแต่วันที่แจ้ง ทั้งนี้ข้าราชการส่วนท้องถิ่นหรือลูกจ้างประจำที่ได้ทำสัญญาค้ำประกันไว้ตามหลักเกณฑ์วิธีปฏิบัติฉบับเดิมก่อนที่จะมีการกำหนดหลักเกณฑ์ใหม่ขึ้น จะไม่ได้รับผลกระทบแต่อย่างใด เว้นเสียแต่ว่าสัญญาที่ค้ำประกันที่เคยทำไว้มีสาเหตุมาจากถูกฟ้องคดีอาญาหรือต้องหาว่ากระทำความผิดอาญาเพียงกรณีเดียว โดยไม่ได้กระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง หรือมีการดำเนินการทางวินัยถึงที่สุดแล้ว ก็ให้ได้รับประโยชน์โดยหลักประกันที่ทำไว้เป็นอันระงับไป
“การแก้ไขกำหนดหลักเกณฑ์วิธีปฏิบัติฉบับใหม่นี้ ถือเป็นส่วนหนึ่งของความตั้งใจของกระทรวงมหาดไทยที่มีความมุ่งหมายที่จะลดอุปสรรคของระเบียบกฎหมายหรือหนังสือสั่งการที่เป็นโทษและยังใช้บังคับกับข้าราชการส่วนท้องถิ่นและลูกจ้างประจำ รวมทั้งเป็นการลดภาระในการจัดทำประกันการขอรับบำเหน็จบำนาญของข้าราชการส่วนท้องถิ่น หรือบำเหน็จและบำเหน็จรายเดือนของลูกจ้างประจำที่ต้องหาคดีอาญาและคดียังไม่ถึงที่สุด เพื่อที่จะสามารถช่วยให้ข้าราชการส่วนท้องถิ่นและลูกจ้างประจำยังพอมีรายรับเพื่อใช้ในการยังชีพ แม้ว่าจะออกจากราชการไปแล้ว ตนจึงได้เน้นย้ำให้จังหวัด อำเภอ ตลอดจนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทุกแห่ง และพี่น้องข้าราชการส่วนท้องถิ่นทุกหน่วยงานได้ช่วยกันประชาสัมพันธ์สร้างความรับรู้เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้องและดำเนินการตามหลักเกณฑ์ใหม่ต่อไป” นายสุทธิพงษ์ กล่าวเพิ่มเติม
#กระทรวงมหาดไทย #บำบัดทุกข์บำรุงสุข #MOI
กองสารนิเทศ สป.มท.
ครั้งที่ 779/2567 วันที่ 3 พ.ค. 2567