วันนี้ (8 ก.พ. 2562) เวลา 15.30 น. นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุมหารือระหว่างกระทรวงมหาดไทย กับ กระทรวงพลังงาน เรื่องยุทธศาสตร์ชาติและแผนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับด้านพลังงาน ร่วมกับ นายกุลิศ สมบัติศิริ ปลัดกระทรวงพลังงาน และผู้แทนจากกระทรวงพลังงาน พร้อมด้วยผู้บริหารของส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวงมหาดไทย ณ ห้องประชุมราชสีห์ อาคารศาลาว่าการกระทรวงมหาดไทย
นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า การประชุมหารือด้านพลังงานครั้งนี้เป็นไปตามกรอบยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ซึ่งได้กำหนดกรอบแนวทางการดำเนินงานไว้ในร่างแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ รวมไปถึงนโยบายของรัฐบาล โดยใช้กลไกการดำเนินงานของกลุ่มขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง กระทรวงมหาดไทย (ป.ย.ป.มท.) ในการขับเคลื่อน สำหรับวันนี้ถือเป็นโอกาสอันดีของทั้งสองหน่วยงานในการประชุมหารือร่วมกัน เพื่อกำหนดกรอบและทิศทางการปฏิรูปประเทศในด้านพลังงาน ซึ่งถือเป็นประเด็นที่รัฐบาลให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง
ด้าน นายกุลิศ สมบัติศิริ ปลัดกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า ประเด็นที่กระทรวงพลังงานขอแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับกระทรวงมหาดไทย เพื่อสร้างความเข้าใจร่วมกันก่อนดำเนินการขับเคลื่อนสู่ภาคปฏิบัติ มี 8 ประเด็นสำคัญ คือ (1) การจัดตั้งโรงไฟฟ้าที่ประชาชนมีส่วนร่วมนำเสนอพื้นที่ (2) การจัดตั้ง One-Stop Service ด้านพลังงาน (3) การส่งเสริมประเด็นพลังงานกับชุมชน (4) การจัดสรรค่าภาคหลวงสู่ชุมชน เพื่อให้มีการกระจายเงินสู่ อปท. ในพื้นที่ที่เป็นตั้งแหล่งปิโตรเลียม (5)โครงสร้างการบริหารกิจการไฟฟ้า (6) การนำขยะมูลฝอยไปเป็นเชื้อเพลิงเพื่อผลิตไฟฟ้า (7) การใช้ข้อบัญญัติเกณฑ์มาตรฐานอาคารด้านพลังงาน (Building energy Code : BEC) และ (8) การกำหนดผังเมือง
ทั้งนี้ นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า ทางกระทรวงมหาดไทยยินดีให้ความร่วมมือและสนับสนุนการดำเนินการของกระทรวงพลังงานตาม (ร่าง) แผนแม่บทกระทรวงพลังงานของกระทรวงมหาดไทย เนื่องจากกระทรวงมหาดไทยถือเป็นหน่วยงานหลักที่รับผิดชอบในระดับพื้นที่ โดยขอให้พลังงานจังหวัดเสนอโครงการตาม (ร่าง) แผนแม่บทดังกล่าวเข้าไปไว้ในแผนพัฒนาจังหวัด/กลุ่มจังหวัด เพื่อพิจารณาเห็นชอบตามความเหมาะสมของแต่ละโครงการต่อไป ส่วนประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขข้อกฎหมายด้านพลังงานที่กระทรวงมหาดไทยมีส่วนรับผิดชอบ ตลอดจนการออกมาตรการสนับสนุนในด้านกฎหมายนั้น เห็นควรต้องใช้เวลาประกอบการพิจารณาอย่างรอบคอบ เพื่อประเมินถึงผลดีและผลเสียก่อนตัดสินใจดำเนินการในอนาคต โดยหลักการทำงานสำคัญของกระทรวงมหาดไทยคือการบริหารงานตามข้อกฎหมาย และความคาดหวังของประชาชนเป็นสำคัญ.
