วันนี้ (20 พ.ย. 68) เวลา 10.40 น. นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นำแถลงผลการปฏิบัติการ “ยุทธการตัดหมอกเวียงแหง” โดยกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย และภาคีเครือข่าย และ “ยุทธการสกัดยานรก” โดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และภาคีเครือข่าย โดยมี พล.ต.ท.รุทธพล เนาวรัตน์ รมว.ยุติธรรม นายนภินทร ศรีสรรพางค์ รัฐมนตรี รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายทรงศักดิ์ ทองศรี รมช.มหาดไทย นายศักดิ์ดา วิเชียรศิลป์ รมช.มหาดไทย พล.ท.อดุลย์ บุญธรรมเจริญ รมช.กลาโหม น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล เลขาธิการนายกรัฐมนตรี นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย นายภาสกร บุญญลักษม์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านกิจการความมั่นคงภายใน นายนฤชา โฆษาศิวิไลซ์ อธิบดีกรมการปกครอง นายรัฐพล นราดิศร ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ นายชูชีพ พงษ์ไชย ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย และหัวหน้าส่วนราชการ ข้าราชการ ข้าราชการ ทั้งตำรวจ ป.ป.ท. ป.ป.ช. ทหาร ฝ่ายปกครอง และสื่อมวลชน ร่วมเป็นจำนวนมาก
นายอนุทิน กล่าวว่า จากกรณีเรียกรับผลประโยชน์คนต่างด้าวเข้าเมืองโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือที่สื่อมวลชนเรียกว่า “ส่วยสัญชาติ” คือ บ่อนทำลายหลักนิติรัฐ นิติธรรม และเป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศ ตนจึงได้สั่งการให้กระทรวงมหาดไทยเร่งรัดการตรวจสอบและแก้ไขปัญหาโดยทันที โดยมีกรมการปกครอง กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) รวมถึงสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) บูรณาการเปิดปฏิบัติการ “ตัดหมอกเวียงแหง” เพื่อตรวจสอบปฏิบัติการขบวนการทุจริตที่เกี่ยวข้องกับการให้สิทธิอาศัยถาวรแก่คนต่างด้าวโดยมิชอบ และได้ทำการสืบสวนขยายผลโดยพบว่า ขบวนการนี้มีการเชื่อมโยงกับกลุ่มจีนเทาซึ่งเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ
“มติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับการเร่งรัดให้สัญชาติไทยแก่กลุ่มเป้าหมาย 480,000 คน ซึ่งเป็นกลุ่มชาติพันธุ์และชนกลุ่มน้อยที่อาศัยอยู่ในไทยมานาน รวมถึงบุตรที่เกิดในไทยเรื่องสัญชาติดังกล่าวเกิดขึ้นในช่วงที่ตนดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในคณะรัฐมนตรีชุดที่ 64 และในช่วงที่เป็นการเริ่มขบวนการยื่นขอสถานะที่ทำให้เกิดเหตุนี้ขึ้น มันเกิดขึ้นในช่วงที่ตนพ้นจากระยะเวลาการดำรงตำแหน่งไประยะเวลาหนึ่ง แต่เมื่อกลับมาดำรงตำแหน่งอีกครั้งหนึ่ง และพ่วงตำแหน่ง “นายกรัฐมนตรี” ตนจึงได้จัดการให้กรมการปกครองเร่งดำเนินการตรวจสอบและเอาผิดต่อผู้กระทำผิดโดยเร็วที่สุด เฉกเช่นกรณีที่อำเภอฝาง ที่มีผู้ใหญ่บ้านเรียกรับเงินจากผู้มีสิทธิ ซึ่งปัจจุบันบุคคลนั้นก็ถูกไล่ออกจากราชการและดำเนินคดีแล้ว“
นายอนุทิน ย้ำว่า เป็นความน่าอับอายและเลวร้ายยิ่ง เพราะกระบวนงานนี้มีเจ้าหน้าที่รัฐบางรายมีส่วนเกี่ยวข้องด้วย โดยได้หาผลประโยชน์จากสิทธิของประชาชนกลุ่มเปราะบางที่มีกว่า 4.8 แสนคน ที่รอคอยสถานะทางกฎหมายและสัญชาติไทย หลายคนรอระยะเวลา 30-40 ปี ทั้งที่ประเทศไทยได้รับการชื่นชมจาก UNHCR ในการยุติสถานะไร้รัฐไร้สัญชาติ แต่กลับมีผู้ฉวยโอกาสหาประโยชน์จากความเดือดร้อนของประชาชนกลุ่มนี้ ถือเป็นการใช้ช่องว่างของระบบทะเบียนราษฎร และยังเอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มจีนเทา “นี่คือเรื่องที่ยอมรับไม่ได้โดยเด็ดขาด” เพราะเป็นการเปิดทางให้อาชญากรรมข้ามชาติและธุรกิจผิดกฎหมายเข้ามาปลอมแปลงตัวตนและมีผลกระทบโดยตรงต่อความมั่นคงของประเทศ ซึ่งรัฐบาลจะทำทุกอย่างเพื่อไม่ให้เกิดสิ่งเหล่านี้
“จากข้อมูลของกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่ร่วมบูรณาการการทำงานสอบสวนพบว่าที่ “อำเภอเวียงแหง จังหวัดเชียงใหม่” เป็นพื้นที่ที่มีการกระทำการทุจริตลักษณะนี้มาอย่างยาวนาน ตั้งแต่ปี 2554 โดยได้มีการจับกุมปลัดอำเภอในคดีลักษณะเดียวกันนี้ บางคนถูกลงโทษจำคุก 5 ปี รวมถึงคดีในปี 2563 แต่สุดท้ายแม้ว่าจะมีสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว ผู้ที่เกี่ยวข้องได้ถูกลงโทษออกจากราชการแล้ว ก็ยังมีเหตุเกิดขึ้นมาอีกในปีนี้ และนี่คือเหตุผลที่กระทรวงมหาดไทยจึงได้ขอความร่วมมือไปยังหน่วยงานทำการ “ล้างบางให้สิ้นซาก” ไม่ให้เกิดการทำผิดซ้ำขึ้นมาอีก“
นายอนุทิน กล่าวเพิ่มเติม การจับกุมครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่กระทรวงมหาดไทยออกหมายจับนายอำเภอ ซึ่งเป็นหัวหน้าส่วนราชการระดับอำเภอ (ระดับ 9 เดิม) ในสังกัดกรมการปกครอง ซึ่งเป็นตำแหน่งที่มีหน้าที่ความรับผิดชอบที่ต้องทุ่มเทเสียสละ และควรจะมีอนาคตที่เจริญก้าวหน้าในหน้าที่ราชการต่อไป แต่กลับเห็นผิดเป็นชอบและเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนเพียงเล็กน้อยนี้ ดังนั้น กระทรวงมหาดไทยจึงได้ออกหมายจับนายอำเภอคนนี้ที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตระบบทะเบียนราษฎร เพื่อสะท้อนให้เห็นเจตนารมณ์อันชัดเจนของรัฐบาลว่า “เรามีความตั้งใจจริงที่จะไม่ปกป้องคนผิด และปราบปรามกระบวนการที่ก่อให้เกิดความเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ ไม่ว่าเขาจะอยู่ตำแหน่งหรือสถานะใดก็ตาม” เพราะมักจะมีคนบอกว่า ถ้าคนกระทำผิดมีตำแหน่งแห่งหน มีอำนาจ มีคนความใกล้ชิดกับบุคคลที่มีบารมี มีอำนาจสูง มักจะได้รับการอำนวยความสะดวก และบรรเทาคดี แต่ตนขอยืนยันว่า ในรัฐบาลชุดนี้ หน่วยงานราชการที่มาเกี่ยวข้องกับเรื่องการป้องกันและปราบปรามและสร้างความมั่นคงให้กับบ้านเมืองและรักษากฎหมาย ไม่ข้องแวะกับเรื่องเหล่านี้เด็ดขาด และในฐานะนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยขอยืนยันว่า เราจะเดินหน้าแก้ไขปัญหาเช่นนี้ต่อไป เพื่อความมั่นคง แน่วแน่ทำบ้านเมืองของเราให้สะอาด ฟื้นฟูความเชื่อมั่นของพี่น้องประชาชน ปกป้องความมั่นคงของประเทศไทยอย่างเต็มกำลัง
จากนั้น นายอนุทินได้แถลงถึงผลการปฏิบัติการยุทธการ “สกัดยานรก” ปราบปรามยาเสพติดในพื้นที่ภาคเหนือ โดยได้ปราบปรามการลักลอบขนถ่ายและปราบปรามยาเสพติดอย่างเข้มข้น ซึ่งเป็นนโยบายที่รัฐบาลได้แถลงต่อรัฐสภาตั้งแต่วันแรกที่เข้ารับตำแหน่งหน้าที่ โดยพื้นที่ภาคเหนือเป็นพื้นที่สำคัญ เป็นเส้นทางลำเลียงยาเสพติดจากนอกประเทศเข้าสู่ประเทศไทยและกระจายไปยังภูมิภาคต่าง ๆ ของประเทศ จึงได้ร่วมกันบูรณาการกำลังอย่างเต็มรูปแบบ ทั้งด้านข่าวกรอง ปิดล้อม ตรวจค้น สกัดกั้น ติดตาม การสกัดกั้นเส้นทางธรรมชาติและการขยายผลไปสู่กลุ่มและเครือข่ายต่าง ๆ โดยล่าสุด ผลการปฏิบัติการมีความคืบหน้าอย่างเป็นรูปธรรม โดยสามารถยึดของกลางยาเสพติดได้เป็นจำนวนมาก ทั้งยาบ้าและยาไอซ์ จับกุทมกลุ่มผู้ต้องหาในกระบวนการลำเลียงและผู้เกี่ยวข้องพร้อมพยานหลักฐานที่สามารถนำไปขยายผลต่อยอดได้
“ความสำเร็จในภารกิจครั้งนี้ต้องถือเป็นส่วนหนึ่งของการเดินหน้าปราบปรามยาเสพติดอย่างจริงจังและต่อเนื่อง ด้วยปฏิบัติการตัดวงจรทั้งระบบ ทั้งผู้ผลิต ผู้ลำเลียง ผู้ค้ารายย่อย ไปจนถึงเครือข่ายการเงินที่อยู่เบื้องหลัง เพื่อนำคนทำผิดเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมสูงสุด ซึ่งเรื่องเหล่านี้เกี่ยวข้องกับธุรกิจสีเทาทั้งหลาย บัญชีม้า สแกมเมอร์ การลักลอบเข้าเมือง ซึ่งตนมั่นใจว่าการบูรณาการความร่วมมือของหน่วยงานด้านความมั่นคง ตำรวจ ฝ่ายปกครอง หน่วยตรวจสอบ จึงขอให้ความมั่นใจในการปฏิบัติการของทุกท่านว่า “เราประกาศตัวเป็นศัตรูกับผู้ค้ายาเสพติดและผู้กระทำผิดกฎหมายต่อความมั่นคงของประเทศไทย ในทุกรูปแบบ” และมั่นใจว่าบุคคลเหล่านี้ไม่มีวันที่จะพ้นจากการจับกุมจากการทำงานหนักของพวกเราทุกคน และผู้ทำผิดต้องได้รับโทษที่รุนแรงที่สุด ดังที่ผ่านมาที่เราได้จับกุมและดำเนินคดีกับกลุ่มผู้กระทำผิดเหล่านี้อย่างชัดเจน เข้มงวด รุนแรง และหากเป็นชาวต่างชาติ แม้จะพยายามอย่างไรที่จะขอรับโทษในประเทศไทย ก็ต้องถูกส่งกลับไปยังประเทศของเขา ไปรับโทษในประเทศเขาในที่สุด แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าถ้าอยู่เมืองไทยเราจะได้รับสิ่งที่ดี จึงขอให้ความมั่นใจกับประชาชนทั้งหลายว่า “นี่คือสิ่งที่เจ้าหน้าที่ ข้าราชการทุกคนทุกฝ่าย ไม่ยินยอมให้คนเหล่านี้ ถ้าเป็นคนไทยก็ต้องถูกดำเนินคดีอย่างเด็ดขาด ถ้าเป็นคนต่างชาติคนเหล่านี้ก็จะอยู่ในราชอาณาจักรไทยไม่ได้“
นายอนุทิน กล่าวอีกว่า เพื่อให้เกิดความเชื่อมั่นและมั่นใจในการปฏิบัติงานของทุกฝ่าย ตนในนามรัฐบาลขอยืนยันความพร้อมต่อการสนับสนุนการทำงานของทุกฝ่ายอย่างเต็มที่ และขอชื่นชมเจ้าหน้าที่และผู้เกี่ยวข้องทุกนายทุกคนที่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความมุ่งมั่น เสียสละ และทุ่มเทแรงกาย แรงใจ ในการสกัดกั้นและปราบปรามการกระทำอันเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมาย บั่นทอนสังคม ทำลายความมั่นคงของชาติ ทำลายเยาวชนของชาติ ทำลายอนาคตของชาติ เราจะดำเนินการอย่างต่อเนื่องโดยที่ไม่มีวันท้อถอย
“การปฏิบัติหน้าที่ของทุกท่านถือเป็นแบบอย่างแห่งความดีงาม ความรับผิดชอบ และเป็นพลังสำคัญในการขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาล เพื่อให้สังคมไทยได้ปลอดภัยและปลอดจากภัยจากยาเสพติด จากอาชญากรรมประเภทอื่น ๆ ทั้งอาชญากรรมออนไลน์ อาชญากรรมสแกมเมอร์ บ่อนการพนันการฟอกเงิน และธุรกิจสีเทา สุดท้ายนี้ รัฐบาลและหน่วยงานรัฐทุกภาคส่วน ขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในภารกิจสำคัญนี้ ทั้งการแจ้งเบาะแส การดูแลคนในครอบครัวด้วยความรักความเข้าใจ สนับสนุนการบำบัดและร่วมรณรงค์ต่อต้านยาเสพติด ต่อต้านการกระทำอันเป็นที่ผิดกฎหมาย เพื่อปกป้องลูกหลานของเรา และเพื่อสังคมที่ปลอดภัยสำหรับทุกคน” นายอนุทิน กล่าวในช่วงท้าย
สำหรับผลการปฏิบัติ “ยุทธการตัดหมอกเวียงแหง” เกิดจากการสืบสวนของกรมการปกครองร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงาน ป.ป.ช. สำนักงาน ป.ป.ท. และ DSI โดยขออนุมัติหมายจับจากศาลเพื่อจับกุมบุคคล จำนวน 28 ราย โดยจับได้ทั้งหมด 12 ราย ประกอบด้วย เจ้าหน้าที่ของรัฐและบุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้อง 10 ราย กลุ่มนายหน้า 1 ราย และบุคคลต่างด้าว 1 ราย และยึดของกลางจำนวนมาก โดยพบว่า ยังเชื่อมโยงกับคดีในพื้นที่ปทุมธานีที่มีการโฆษณารับทำบัตรประจำตัวประชาชนผ่านแพลตฟอร์ม “เสี่ยวหงชู (XiaoHongShu)” ของจีนที่มีมูลค่าความเสียหายนับพันล้านบาท โดยสำหรับเหตุการณ์ในพื้นที่ อ.เวียงแหง ได้ดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ของรัฐกลุ่มนายหน้าและคนต่างด้าว ในความผิดฐานร่วมกันกระทำการเพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นมีชื่อหรือมีรายการในทะเบียนบ้านหรือเอกสารการทะเบียนราษฎรอื่นโดยมิชอบ ตามมาตรา 50 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร พ.ศ. 2534 และเป็นเจ้าพนักงานทำเอกสารเท็จและเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริต ตามมาตรา 162 และมาตรา 157 แห่งประมวลกฎหมายอาญา เป็นต้น
สำหรับผลการปฏิบัติ “ยุทธการสกัดยานรก” ระหว่างวันที่ 13 – 19 พ.ย. 2568 ตำรวจภูธรภาค 5 บูรณาการร่วมกับ ฝ่ายปกครอง ฝ่ายทหาร และสำนักงาน ป.ป.ส. สกัดกั้นปราบปรามจับกุมยาเสพติดได้ 3 คดี ยาบ้ารวมประมาณ 11 ล้านเม็ด ไอซ์ จำนวน 500 กก. และอายัดทรัพย์สินจากขบวนการค้ายาเสพติดได้หลายรายการ ซึ่งอยู่ระหว่างการขยายผลเพิ่มเติม โดยมีความเด็ดขาดในการสกัดกั้นเส้นทางลำเลียงยาเสพติดตั้งแต่ชายแดนจนถึงพื้นที่ชั้นในของประเทศ
กองสารนิเทศ สป.มท.
ครั้งที่ 955/2568 วันที่ 20 พ.ย. 2568
