เมื่อวันที่ 29 พ.ย. 65 นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า ปฏิบัติการป้องกัน ปราบปราม ยาเสพติดและการบำบัดรักษาผู้ป่วยยาเสพติด หรือผู้ป่วยจิตเวชให้เข้าสู่กระบวนการบำบัดรักษา ตลอดจนกระบวนการบำบัดฟื้นฟู ฝึกอาชีพ ฝึกกำลังใจที่เข้มแข็งให้สามารถกลับเข้าไปใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุข กลับคืนสู่อ้อมกอดของครอบครัวที่อบอุ่น สิ่งที่สำคัญที่จะทำให้ปฏิบัติการทำสงครามกับยาเสพติดสำเร็จ คือ ประการแรกการปฏิบัติงานที่เข้มแข็งของเจ้าหน้าที่ทุกท่าน ซึ่งต้องขอชื่นชมทั้งที่เป็นผู้ปฏิบัติและผู้สนับสนุนจนทำให้มีผลการดำเนินการเป็นที่น่าพอใจ รวมถึงพี่น้องประชาชน ซึ่งเป็นแหล่งข่าวที่สำคัญ ถือเป็นพันธมิตรที่แท้จริงของเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง ซึ่งจะต้องขอให้ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งเพิ่มระดับความเข้มข้นและเอาจริงเอาจัง เพื่อทำให้ปัญหายาเสพติดหมดสิ้นไปจากสังคมไทย ประการต่อมา คือ เราต้องเร่งสร้างความตระหนักรู้ให้แก่เด็ก และเยาวชนในทุกพื้นที่ รวมถึงกลุ่มเสี่ยง เช่น กลุ่มแรงงานในโรงงาน กลุ่มร้านค้าขายของชำในแหล่งชุมชน หรือ อื่น ๆ ให้รู้ถึงโทษ และพิษภัยที่เกิดจากยาเสพติด โดยให้เด็ก ๆ และเยาวชน ได้ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ ทำกิจกรรมต่าง ๆ ทั้งเรียนรู้ พาไปเที่ยวชมแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ ทางวัฒนธรรม พาไปกินอาหารใช้เวลาว่างร่วมกับครอบครัว เพื่อเพิ่มความอบอุ่นแน่นเฟ้นให้ดียิ่งขึ้น เป็นต้น สำหรับวันนี้ กระทรวงมหาดไทยขอนำตัวอย่างการปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่มาเล่าอธิบาย เพื่อเป็นกำลังใจให้แก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน และเป็นอุทาหรณ์ให้แก่น้อง ๆ เด็ก และเยาวชนว่าอย่าหลงผิดให้เสียอนาคต เพราะสุดท้ายจะต้องถูกจับดำเนินคดี มีรายละเอียดดังนี้
1.จังหวัดอุตรดิตถ์ นายสมหวัง พ่วงบางโพ ผู้ว่าราชการจังหวัดอุตรดิตถ์ ได้สั่งการให้ นายสามารถ อินทปัญญา นายอำเภอบ้านโคก พร้อมด้วยปลัดอำเภอฝ่ายความมั่นคง และสมาชิก อส.อ.บ้านโคก ดำเนินการตามนโยบายจังหวัดอุตรดิตถ์ “เมืองสงบ มั่นคง ปลอดภัย” ในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดโดยได้ตรวจหาสารเสพติดในปัสสาวะพระภิกษุสงฆ์ จำนวน 18 รูป ได้แก่ 1. วัดสิริมาตุยาราม (บ้านห้วยน้อยกา) จำนวน 6 รูป 2. สำนักสงฆ์ห้วยน้อยกา จำนวน 1 รูป 3. วัดจอมแจ้ง จำนวน 1 รูป 4. ที่พักสงฆ์วังสัมพันธ์ จำนวน 1 รูป 5. ที่พักสงฆ์น้ำลัด จำนวน 1 รูป 6. ที่พักสงฆ์ซำผาก้าม จำนวน 1 รูป 7. ศูนย์ปฏิบัติธรรมวิสุทธิปัญญาสาร (บ้านห้วยยศ) จำนวน 3 รูป 8. วัดฟากนา จำนวน 3 รูป และ 9. วัดโคกใหม่ จำนวน 1 รูป ไม่พบสารเสพติดแต่อย่างใด นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองได้ร่วมกับชุดสืบสวน สภ.บ้านโคก และ ชุด ชปส.ตชด.317 ร่วมตรวจค้นและจับกุมตัว นายวุฒินันท์ (สงวนนามสกุล) อายุ 25 ปี และนางสาวตุลา (สงวนนามสกุล) อายุ 27 ปี พร้อมยาบ้า จำนวน 60 เม็ด โดยกล่าวหาว่า “ร่วมกันจำหน่ายยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) และจำหน่ายยาเสพติดให้โทษประเภท1 (ยาบ้า) โดยการขายอันเป็นการกระทำเพื่อการค้า ซึ่งได้นำตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.บ้านโคก เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายแล้ว
2.จังหวัดเชียงใหม่ เจ้าหน้าที่ทหาร ร้อย.ม.3 บก.ควบคุมที่ 2 ฉก.ม.5 กองกำลังผาเมือง ได้ออกตรวจพื้นที่ชายแดนไทย-เมียนมา ด้านดอยอ่างขาง ต.ม่อนปิ่น อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ ภายหลังชุดปฏิบัติการข่าวกองกำลังผาเมืองสืบทราบว่าขบวนการค้ายาเสพติดจะลักลอบขนยาบ้าจำนวนมาก กระทั่งเช้ามืดเจ้าหน้าที่ได้ตรวจพบชายฉกรรจ์กลุ่มใหญ่ รวมประมาณ 15-20 คน แบกหามสัมภาระและมีกองกำลังติดอาวุธคุ้มกัน เดินลัดเลาะมาตามแนวป่าเขาเข้ามาทางพื้นที่หมู่บ้านนอแล-บ้านขอบด้ง ต.ม่อนปิ่น อ.ฝาง เจ้าหน้าที่เห็นผิดปกติจึงได้ให้สัญญาณหยุดตรวจ ปรากฏว่ากลุ่มคนดังกล่าวกลับเปิดฉากยิงปืนใส่เจ้าหน้าที่ เพื่อจะเปิดทางหลบหนี ทำให้เกิดการยิงปะทะกันขึ้นนานประมาณ 5 นาที เจ้าหน้าที่ทุกนายปลอดภัย ส่วนฝ่ายตรงข้ามอาศัยความชำนาญในภูมิประเทศหลบหนีไปได้ เจ้าหน้าที่จึงเข้าตรวจสอบพื้นที่ เบื้องต้นพบกระสอบฟางดัดแปลงเป็นกระเป๋าเป้ตกกระจัดกระจายอยู่จำนวน 16 ใบ ภายในพบห่อใบชาสีเขียวบรรจุยาไอซ์ชนิดเกล็ดสีขาว น้ำหนักรวม 192 กิโลกรัม เจ้าหน้าที่จึงได้ตรวจยึดเอาไว้และประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าไปตรวจสอบ เพื่อขยายผลไปถึงกลุ่มขบวนการรายนี้ต่อไป ต่อมา นายพีระศักดิ์ ธีรบดี นายอำเภอแม่วาง/ผอ.ศป.ปส.อ.แม่วาง ได้มอบหมายให้ปลัดอำเภอฝ่ายความมั่นคง เจ้าพนักงาน ปปส.ภาค 5 เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.แม่วาง เจ้าหน้าที่หน่วยป้องกันรักษาป่า ชม.13 (สันป่าตอง) สมาชิก อส. อำเภอแม่วางที่ 23 และ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ลงพื้นที่พิสูจน์ทราบพื้นที่ต้องสงสัยแปลงเพาะปลูกฝิ่นในพื้นที่ตำบลแม่วิน อำเภอแม่วาง จังหวัดเชียงใหม่ ทั้งหมดจำนวน 9 แปลง ซึ่งพบ แปลงปลูกฝิ่นจำนวน 1 แปลง เนื้อที่ 1 งาน จึงได้ทำลายกล้าฝิ่นแปลงดังกล่าว เพื่อป้องกันปัญหาการแพร่ระบาดของฝิ่นในพื้นที่
3.จังหวัดบุรีรัมย์ โดยนายไชยวัฒน์ จุนถิระพงศ์ รกท.ผู้ว่าราชการจังหวัด นายเกรียงศักดิ์ สมจิต นายอำเภอเมืองบุรีรัมย์ นายเศรษฐี แพรกนัทที นายอำเภอบ้านด่าน และนายศักดิ์กรินทร์ คูณประโคน นายอำเภอเฉลิมพระเกียรติ ได้ร่วมกันมอบหมายให้ เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง สมาชิก อส.ร้อย ร่วมกับ เจ้าหน้าตำรวจที่ชุดปฏิบัติการปราบปรามยาเสพติดตำรวจภูธร จังหวัดบุรีรัมย์ นำโดย พ.ต.ท.วิชาญ กระจ่างโพธิ์ รอง ผกก.กก.สส.ภ.จว.บุรีรัมย์ /หน.ชป.ปส.ภ.จว.บุรีรัมย์ เจ้าหน้าที่ตำรวจชุด ชปส.ร้อย ตชด.215, 216, เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เฉลิมพระเกียรติ, เจ้าหน้าที่ทหารหน่วยปราบปรามยาเสพติด ขกท.ศปก.ทบ.(นฝด.22, ขกท.กกล.สุรนารี) และเจ้าหน้าที่ทหาร สขว.กอ.รมน. ได้ร่วมบูรณาการกำลังจับกุมเครือข่ายและทำลายเครือข่ายยาเสพติดรายสำคัญในพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์และใกล้เคียง โดยมีผลการปฏิบัติการจับกุมยาเสพติดครั้งนี้สามารถทำลายเครือข่าย จำนวน 1 เครือข่าย จับกุมผู้ต้องหา จำนวน 19 คน 11 คดี พร้อมของกลาง ยาบ้า จำนวน 55,912 เม็ด ยาไอซ์ หนัก 40.6 กรัม อาวุธปืน จำนวน 8 กระบอก กระสุนปืน จำนวน 40 นัด และได้ตรวจยึดทรัพย์สินที่เกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ตามประมวลยาเสพติดยาเสพติด ประกอบด้วย รถยนต์ จำนวน 1 คัน รถจักรยานยนต์ จำนวน 11 คัน รวมมูลค่าประมาณ 1,000,000 บาท ขณะนี้ได้นำส่งพนักงานสอบสวน สภ.นางรอง, สภ.เฉลิมพระเกียรติ, สภ.บ้านด่าน และ สภ.เมืองบุรีรัมย์ ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
4.จังหวัดอุดรธานี นายชวิศ ป้องขันธ์ นายอำเภอโนนสะอาด/ผอ.ศอ.ปส.อ.โนนสะอาด และพ.ต.อ.นริศ เปี้ยกาศ ผกก.สภ.โนนสะอาด มอบหมายให้ นายเกรียงไกร ชัยอามาตย์ ปลัดอำเภอฝ่ายความมั่นคง นำกำลังสมาชิก อส. และ ผรส. ร่วมกับ เจ้าหน้าที่ตำรวจ นำโดย พ.ต.ต.ภานุวัฒน์ สิทธิ สว.สส.สภ.โนนสะอาด พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน สภ.โนนสะอาด ร่วมกันจับกุมผู้ต้องหาคดีค้ายาเสพติด 2 ราย ได้แก่ นายวิชัย (สงวนนามสกุล) อายุ 37 ปี และ น.ส.สมใจ (สงวนนามสกุล) อายุ 47 ปี พร้อมของกลางยาบ้า จำนวน 8,048 เม็ด ซึ่งได้นำส่งผู้ต้องหาส่งพนักงานสอบสวน สภ.โนนสะอาด เพื่อสืบสวนขยายผลและดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
5.จังหวัดระนอง ที่ กองร้อย ร.2521 หน่วย ฉก.ร.25 ต.บางริ้น อ.เมืองระนอง จ.ระนอง พล.ต.ต.เชิดพงษ์ ชิวปรีชา ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดระนอง, พ.อ.ภูมิพัฒน์ บุญเรืองขาว ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารราบที่ 25, นายพีระ กาญจนพงศ์ ผอ.ป.ป.ส.ภาค 8 ,ร่วมกันแถลงข่าวการขยายผลจับกุมเครือข่ายยาเสพติดในพื้นที่ อ.กระบุรี จังหวัดระนอง ได้ผู้ต้องหาชาวไทย 8 ราย และชาวเมียนมา 2 ราย รวมยาไอซ์ จำนวน 4 กิโลกรัม ซึ่งเชื่อมโยงการลักลอบนำเข้ายาเสพติดจากฝั่งประเทศเพื่อนบ้าน ผ่าน อ.กระบุรี จ.ระนอง สืบเนื่องจากสัปดาห์ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ทหารชุด ฉก.ร.25 ร่วมกับ เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ปากจั่น อ.กระบุรี ได้เข้าตรวจค้นบ้านเป้าหมายและสามารถจับกุมเครือข่ายยาเสพติดข้ามชาติ พื้นที่ อ.กระบุรี นำไปสู่การขยายผลจับกุมผู้ค้ายาไอซ์ ชาวไทย รวม 8 ราย จากนั้น ได้สอบสวนขยายผลเครือข่ายเพิ่มเติม ไปยังผู้ค้ายาเสพติดรายใหญ่ในพื้นที่ หมู่บ้านเอชันตะ และหมู่บ้านปกเปี้ยน อ.เขม่าจี จ.เกาะสอง ประเทศเมียนมา จนนำไปสู่การจับกุมผู้ต้องหาชาวเมียนมาเพิ่มเติม ได้อีก 2 ราย คือ นายแหง่ หรือ เมาเท่ สัญชาติเมียนมา พร้อมของกลางยาไอซ์น้ำหนักรวมภาชนะบรรจุ 906.57 กรัม และ น.ส.ซินซิน หรือ เม ชาวเมียนมา พร้อมของกลางยาไอซ์จำนวน 3 ก.ก. ซึ่งทำให้สามารถจับกุมตัวผู้ต้องหาทั้งหมดในเครือข่ายนี้ จำนวน 10 ราย รวมยาไอซ์ทั้งสิ้นในคดีนี้ รวม 4 ก.ก. จากนั้น จนท.ได้นำตัวผู้ต้องหาทั้งหมด ส่งตัวให้กับ พนักงานสอบสวน สภ.ปากจั่น เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
นายสุทธิพงษ์ฯ กล่าวทิ้งท้ายว่า ปัญหายาเสพติดถือเป็นปัญหาที่เรื้อรังในสังคมไทยมาอย่างยาวนาน สร้างความบอบช้ำให้แก่ประเทศไทยในทุกด้านทั้งด้านความมั่นคง คือ ทำให้ส่งผลต่อร่างกาย ชีวิตและทรัพย์สิน รวมถึงความสงบเรียบร้อยในพื้นที่ ด้านเศรษฐกิจ ทำให้เสียเวลาในการสร้างรายได้ และงบประมาณในการลงทุนเพื่อก้าวเดินไปข้างหน้า จะต้องจัดสรรมาเพื่อเยียวยารักษา เป็นต้น ด้านสังคม ทำให้การมีส่วนร่วมหรือกิจกรรมนันทนาการต่าง ๆ ลดลง ทำให้ความสุขในพื้นที่ลดน้อยลง ด้านสาธารณสุข ซึ่งส่งผลต่อปัญหาสุขภาพ และปัญหาในด้านของระบบประสาท และด้านสิ่งแวดล้อม คือ การถางพื้นที่ป่า เพื่อไปปลูกไร่ฝิ่น หรือต้นไม้ที่ให้สารสกัดยาเสพติดอื่น ๆ ทั้งนี้ การที่ประเทศของเราจะเดินหน้าไปได้อย่างมั่นคง มั่นคั่ง และยั่งยืนได้นั้น จะต้องมีรากฐานที่มั่นคงซึ่งเกิดจากสถาบันครอบครัวและชุมชน จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ทุกภาคส่วนจะต้องเร่งสร้างความตระหนักรู้ถึงพิษภัยของยาเสพติด และบทลงโทษทางกฎหมายที่จะต้องได้รับให้กับเด็กและเยาวชน รวมทั้งให้ความรัก ความอบอุ่น และให้โอกาสผู้หลงผิดในการกลับเนื้อกลับตัว ให้เด็กและเยาวชนได้เติบโตอย่างมีคุณภาพ อยู่ในสังคมที่ดี เพราะสิ่งนี้คือหัวใจที่จะทำให้ประเทศไทยสามารถเติบโตได้ตามเป้าหมายที่เราได้กำหนดไว้ รวมถึงเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ หรือ SDGs สำหรับผู้ใดที่พบเห็นการกระทำผิดและต้องการร้องเรียน หรือแจ้งเบาะแสให้แก่เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงสามารถแจ้งได้ที่ศูนย์ดำรงธรรมโทรสายด่วน 1567 โทรฟรีตลอด 24 ชั่วโมง
กองสารนิเทศ สป.มท.
ครั้งที่ 576/2565 วันที่ 29 พ.ย. 65