วันนี้ (14 มี.ค. 66) เวลา 08.45 น. ที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล กรุงเทพฯ พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า รัฐบาลภายใต้การนำของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีนโยบายที่ชัดเจนในการส่งเสริมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยนวัตกรรม หรือ ประเทศไทย 4.0 โดยมีหนึ่งในเหตุผลที่สำคัญเพื่อลดความเหลื่อมล้ำต่าง ๆ สร้างความสมดุลทางเศรษฐกิจและสังคม ซึ่ง พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคง ได้มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยที่เป็นหนึ่งในหน่วยงานที่มีหน่วยบริการประชาชนที่สำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริการงานด้านทะเบียนราษฎรที่ประชาชนทุกคนต้องใช้ข้อมูลส่วนบุคคลในการทำธุรกรรมกับหน่วยงานทั้งของภาครัฐและภาคส่วนต่าง ๆ เพื่อยืนยันตัวตนและเจ้าตัวจะต้องเดินทางมาแสดงตนต่อหน้าเจ้าหน้าที่เพื่อขอรับบริการ ซึ่งในช่วงที่ผ่านมากระทรวงมหาดไทย ได้ดำเนินการพัฒนาระบบการเชื่อมโยงฐานข้อมูลทะเบียนราษฎรร่วมกับหน่วยงานภาครัฐผ่านการให้บริการด้วยบัตรประชาชนเพียงใบเดียวแทนการใช้สำเนาเอกสารในหลายบริการของรัฐที่แต่เดิมต้องมีค่าใช้จ่ายและสิ้นเปลืองทรัพยากรกระดาษอันจะส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ประกอบกับภายหลังจากประเทศไทยต้องเผชิญกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เฉกเช่นเดียวกับประเทศอื่น ๆ ทั่วโลก ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงรูปแบบวิถีชีวิตประจำวันของประชาชน ด้วยการลดการเดินทางไปติดต่อกับหน่วยงาน หรือแม้แต่การซื้อสินค้าและบริการ การศึกษา การติดต่อสื่อสาร และการทำงานก็เปลี่ยนไปในลักษณะการติดต่อผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์มากยิ่งขึ้น ลดการเดินทางไปติดต่อ ณ สำนักงาน จึงเป็นโจทย์ที่สำคัญในการพัฒนางานบริการ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การให้บริการที่เกี่ยวข้องกับฐานข้อมูลทะเบียนราษฎรและบัตรประชาชน ที่นอกจากมีความจำเป็นกับการใช้ในการติดต่อธุรกรรมของทุกหน่วยงานแล้ว ยังเป็นเอกสารสำคัญในการยืนยันตัวตนของประชาชนเพื่อเข้ารับบริการสวัสดิการด้านต่าง ๆ จากหน่วยงานภาครัฐ
“กระทรวงมหาดไทยได้นำนโยบายดังกล่าวของรัฐบาลมาขับเคลื่อน ด้วยการมอบแนวทางการทำงานให้ส่วนราชการและหน่วยงานรัฐวิสากิจในสังกัด ดำเนินการพัฒนาระบบการให้บริการประชาชนเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับพี่น้องประชาชน ลดภาระค่าใช้จ่าย และไม่ต้องเสียเวลาในการเดินทางมาติดต่อ ณ สำนักงาน ซึ่งกระทรวงมหาดไทย โดยกรมการปกครอง ได้พัฒนาแอปพลิเคชัน Thai Digital Identity (ThaID) หรือ ไทยดี เพื่อเป็นระบบการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล รองรับการใช้งานของประชาชนทั้งประเทศที่เป็นดิจิทัลไอดีของคนไทยอย่างแท้จริง รองรับผู้ใช้กว่า 60 ล้านคน อันจะช่วยให้การบริการภาครัฐและธุรกรรมออนไลน์มีความสะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย อีกทั้งเป็นการสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัล สามารถอำนวยความสะดวกและสนองตอบความต้องการของประชาชนในการติดต่อกับราชการโดยไม่ต้องเดินทางไปที่สำนักงาน ซึ่งประชาชนสามารถยืนยันตัวตนทำธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ได้อย่างสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย ลงทะเบียนด้วยตนเอง ไม่ต้องเดินทางไปลงทะเบียน ณ สำนักทะเบียนแต่อย่างใด นอกจากนี้ กรมการปกครอง ได้พัฒนาระบบเปรียบเทียบภาพใบหน้า (Face Verification Service) เพื่อให้หน่วยงานผู้ให้บริการด้านพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัลใช้บริการ โดยการส่งเลขประจำตัวประชาชนพร้อมรูปภาพใบหน้าตามรูปแบบที่กรมการปกครองกำหนด เปรียบเทียบกับฐานข้อมูลอัตลักษณ์บุคคลของกรมการปกครอง และตอบกลับผลการเปรียบเทียบเป็นร้อยละของคะแนน” มท.1 กล่าวเน้นย้ำ
พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า การพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล เป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญที่จะเชื่อมต่อการยืนยันตัวตนจากทุกภาคส่วนเข้ามาไว้ด้วยกันแทนระบบเดิมที่ผู้ให้บริการและผู้รับบริการ ต้องมาเผชิญหน้าและแสดงตน เพื่อยืนยันตัวตนด้วยเอกสารทางราชการ เป็นการสร้างมิติใหม่ของการทำธุรกรรมภาครัฐและภาคเอกชน ที่มีความสะดวก รวดเร็ว ผ่านช่องทางดิจิทัล และมีความปลอดภัยมากขึ้น อีกทั้งยังลดความเสี่ยงในการใช้เอกสารราชการปลอมในกระบวนการยืนยันตัวตนของระบบเดิมและเพื่อสนับสนุนการบริการประชาชนของภาครัฐและภาคเอกชน ซึ่งจะช่วยอำนวยความสะดวกให้การประกอบธุรกิจและการทำธุรกรรมต่าง ๆ ในยุคดิจิทัล และ Thailand 4.0 ให้มีความรวดเร็ว มั่นคง และปลอดภัย สามารถบริการพี่น้องประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
“ตัวอย่างบริการสำคัญที่พี่น้องประชาชนสามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน Thai Digital Identity (ThaID) หรือ ไทยดี ได้ทั้งระบบ Google Play และ iOS ซึ่งมีงานบริการประชาชนที่สำคัญที่สามารถใช้งานได้อย่างง่ายดาย เช่น การยืนยันตัวตนด้วยบัตรประชาชน หรือการดูสำเนาทะเบียนบ้านฉบับดิจิทัลผ่านทางแอปพลิเคชันดังกล่าว และสามารถแสดงตนทั้งในสนามบินต่าง ๆ หน่วยงานภาครัฐ และภาคส่วนต่าง ๆ ในสังคมแทนการใช้บัตรประชาชนและเอกสารทะเบียนบ้าน มีตัวอย่างหน่วยงานที่สามารถใช้บริการ อาทิ ท่าอากาศยานในประเทศไทยทุกแห่งทั่วประเทศ เป็นต้น” มท.1 กล่าวในช่วงท้าย
กองสารนิเทศ สป.มท.
ครังที่ 247/2566 วันที่ 14 มี.ค. 2566