วันนี้ (9 พ.ย. 66) เวลา 09.00 น. ที่ห้องประชุมอัษฎางค์ ชั้น 5 อาคารดำรงราชานุสรณ์ กระทรวงมหาดไทย นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานเปิดโครงการศึกษาอบรม และบรรยายพิเศษ หลักสูตร “การเป็นข้าราชการที่ดี” รุ่นที่ 101 โดยมีผู้เข้าร่วมศึกษาอบรมจากสำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย กรมการปกครอง กรมที่ดิน กรมโยธาธิการและผังเมือง กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น รวม 132 คน ร่วมรับฟัง
นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า การศึกษาอบรมหลักสูตร “การเป็นข้าราชการที่ดี” รุ่นที่ 101 ในครั้งนี้ ขอให้ผู้เข้าศึกษาอบรมได้ตั้งใจมุ่งสู่จุดมุ่งหมายเดียวกัน นั่นคือ “การบำบัดทุกข์ บำรุงสุขให้กับพี่น้องประชาชน” ด้วยการทำหน้าที่ในองค์กร หน่วยงาน กลุ่ม กองที่เราสังกัดด้วยความรับผิดชอบ ด้วยความทะเยอทะยานที่จะทำให้งานที่รับผิดชอบประสบผลสำเร็จดีที่สุด ประพฤติตนเป็นคนที่จิตใจดี มุ่งมั่นรับผิดชอบงานในหน้าที่ มีความภาคภูมิใจอันมีพื้นฐานอยู่ที่การทำดีเพื่อส่วนรวม
“สำหรับน้อง ๆ ข้าราชการใหม่ทุกคน ขอให้พึงระลึกว่า หน้าที่ที่ดีที่สุดของการเป็นผู้ใต้บังคับบัญชา คือ ต้องทำให้ผู้บังคับบัญชาไว้ใจและเชื่อใจในสิ่งที่เราคิดจะทำดีให้ได้ ซึ่งจะทำอย่างนั้นได้ เราต้องเป็นคนที่มีไฟในการคิดพัฒนางาน มี “Passion” มีหัวใจที่รุกรบ ในการพัฒนาปรับปรุงงาน โดยมีสิ่งที่ต้องทำควบคู่ไปด้วย คือ การพูดคุยปรึกษาหารือ นำเสนอการพัฒนางานให้กับเพื่อนร่วมงาน ให้กับผู้บริหาร ซึ่งส่วนนี้เป็นสิ่งสำคัญที่ข้าราชการคนรุ่นใหม่ควรจะมี เพราะเป็นสิ่งที่พบได้น้อยมากในข้าราชการยุคเก่า ๆ ดังนั้นความคิดริเริ่มใหม่จะเกิดขึ้นไม่ได้เลยถ้าคนรุ่นใหม่ไม่มีไฟหรือ Passion เราต้องช่วยกันวางเป้าหมายในการที่เราจะคิดทำอะไรอยู่ตลอดเวลา และเดินไปสู่เป้าหมายนั้น เพื่อการพัฒนาองค์กรของเรา” นายสุทธิพงษ์ฯ กล่าว
นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวต่ออีกว่า อีกส่วนหนึ่งที่สำคัญสำหรับข้าราชการใหม่คือ “Partnership” หรือภาคีเครือข่าย ซึ่งการที่จะทำงานให้ประสบความสำเร็จลุล่วงได้ ต้องทำงานผ่านภาคีเครือข่ายทั้ง 7 ภาคีเครือข่าย อันประกอบไปด้วย ภาคราชการ ภาคเอกชน ภาคศาสนา ภาคสื่อสารมวลชน ภาคประชาสังคม ภาควิชาการ และภาคประชาชน ดังที่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ได้พระราชแนวทางไว้ อาทิ สถานที่ทำงานของแต่ละคน ก็จะมีเพื่อนที่มีตำแหน่งแตกต่างกัน เมื่อเราทำงาน เราก็จะอาจมีเพื่อนร่วมงานจากหน่วยงานอื่น ๆ ด้วย ซึ่งสิ่งเหล่านี้ เราต้องทำให้เกิดการพูดคุยหารือกันอย่างสม่ำเสมอ เพื่อหา solution และมีข้อสรุปที่ดีที่สุด นำมาซึ่งการ “ลงมือทำ” จากการที่เราได้พูดคุยปรึกษาหารือมาด้วยกัน และถ้าหากงานสิ่งนั้นประสบความสำเร็จทุกภาคส่วนก็จะภูมิใจประทับใจ เพราะงานที่สำเร็จนั้นล้วนมีที่มาจากทุกคน ทุกภาคส่วน และเราทุกคนจะได้ “รับประโยชน์ร่วมกัน” ผ่านการร่วมพูดคุย ร่วมคิด ร่วมทำ และร่วมรับประโยชน์ ตามหลักการทรงงานของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร
“ซึ่งจากสิ่งที่ตนกล่าวมานั้น เราจะเห็นได้ว่า “คน” มีความสำคัญอย่างยิ่งในการพัฒนาองค์กร แม้ตัวระบบจะมีปัญหาหรือว่าติดขัดเพียงใด แต่ถ้า “คน” สามารถ Change for Good ได้ ก็จะเกิดสิ่งที่ดีให้กับพี่น้องประชาชน และอีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญ คือ “หลักปฏิบัติ” ที่คนมหาดไทยได้รับการบ่มเพาะถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่นมาโดยตลอดว่า “รอบรู้ รวดเร็ว ริเริ่ม” ดังที่ท่านวิญญู อังคณารักษ์ อดีตปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้เคยกล่าวไว้ ซึ่งคำว่า “รอบรู้” ความหมายคือ ต้องมีความรู้รอบตัว ไม่ใช่รู้แค่ตำแหน่งหน้าที่ของตนเองต้องศึกษางานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับองค์กรของตนเอง รอบรู้เรื่องงานและเรื่องคน ซึ่งคนในที่นี้ก็มิได้หมายถึงแค่ที่อยู่ในสำนักงาน แต่ต้องเป็นคนที่อยู่ในพื้นที่ของเรา เพื่อที่จะนำมาเป็นอีกหนึ่งในองค์ความรู้ของเรา “รวดเร็ว” ความรวดเร็วในที่นี้คือต้องทั้งถูกต้องและทันเวลา ซึ่งจะดีขึ้นไปอีกถ้าเราสามารถทำให้แล้วเสร็จในเวลาอันรวดเร็ว และจะดีขึ้นไปอีกถ้าเราสามารถปฏิบัติได้อย่างทันที หรือสามารถทำเสร็จไว้แล้ว ผ่านการคิด “ริเริ่ม” ของพวกเรา อันเชื่อมโยงสอดคล้องกับหลักการทำงานของนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ที่ได้ให้ไว้เมื่อเข้ามาดำรงตำแหน่ง ใจความว่า “การทำงานสั่งวันนี้ต้องเสร็จตั้งแต่เมื่อวาน” เพราะท่านอยากให้พวกเราชาวมหาดไทยทุกคน ต้องเป็นคนที่มีความคิดในการทำงานอยู่เสมอ มีความรอบรู้ว่าจะเกิดปัญหาขึ้นอะไรในอนาคต เราสามารถมีส่วนในการช่วยได้อย่างไร มีหัวใจจดจ่ออยู่กับงาน คิดเรื่องงานอยู่เสมอ ผู้บังคับบัญชายังมิได้สั่งการ เราก็มีขั้นตอนในการทำงานแล้ว ซึ่งเราจะสามารถสรุปได้ว่าความตั้งใจจริงของท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ก็คือ การมีความรอบรู้ควบคู่ไปกับการมีความคิดริเริ่ม โดยไม่ต้องรอให้มีคำสั่ง” นายสุทธิพงษ์ฯ กล่าวเน้นย้ำ
นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า ขอฝากข้าราชการใหม่ทุกคนได้นำเคล็ดลับในการทำงาน นั่นคือ “หัวใจนักปราชญ์” ทั้ง “สุ จิ ปุ ลิ” โดย “สุ” ย่อมาจาก สุตะ คือ การฟัง ฟังในที่นี้คือการรับฟังความคิดเห็นจากเพื่อนร่วมงานจากหัวหน้างานจากผู้บริหารว่ามีแนวทางในการทำงานอย่างไรมีนโยบายเป็นอย่างไร “จิ” ย่อมาจาก จินตะ คือ การคิด ซึ่งเราควรมีความคิดริเริ่มเมื่อเราได้ฟังมาแล้วว่าเรามีความคิดที่จะทำสิ่งใดบ้างมีความคิดริเริ่มที่จะเปลี่ยนแปลงสิ่งใดที่จะก่อให้เกิดสิ่งที่ดีเกิดขึ้น “ปุ” ย่อมาจาก ปุจฉา คือ การถาม เพื่อคลายข้อสงสัย หรือถ้าไม่ต้องการถามเราก็สามารถหาความรู้เพิ่มเติมได้จากหนังสือหรือสื่อต่าง ๆ และ “ลิ” ย่อมาจาก ลิขิต คือ การเขียน ซึ่งการเขียนนี้มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง โดยเรามีแบบอย่างที่เห็นเป็นประจักษ์ชัดเจน คือ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ที่ไม่ว่าพระองค์จะเสด็จพระราชดำเนินไปประกอบพระราชกรณียกิจ ณ สถานที่ใด ก็จะทรงพกสมุดโน้ตไว้คอยจดเสมอ รวมทั้งมีโทรศัพท์มือถือไว้บันทึกภาพด้วย
“สำหรับสิ่งสุดท้าย ที่ตนอยากจะฝากน้อง ๆ ข้าราชการใหม่ คือ หลักธรรมในการครองตน ครองคน และครองงาน ซึ่ง “การครองตน” ในที่นี้คือการทำให้ตนเองมีความรอบรู้ มีการแต่งกายที่ถูกต้องเหมาะสม การดูแลความสะอาด และความเป็นระเบียบเรียบร้อยของสถานที่ทำงาน “การครองคน” คือ การประสานสัมพันธ์และสร้างความเข้าใจอันดีกับผู้บังคับบัญชา เพื่อนร่วมงาน ผู้ใต้บังคับบัญชา และประชาชน สามารถจูงใจให้เกิดการยอมรับและให้ความร่วมมือในการทำงานให้สำเร็จ นอกจากนี้การเป็นข้าราชการใหม่ต้องเป็นผู้ “ครองงาน” ด้วยการแสดงออกให้ชัดเจนว่าเรามีแรงปรารถนา (Passion) ทำให้คนรอบตัวเราเห็นถึงความมุ่งมั่นแน่วแน่ในการขับเคลื่อนงาน ยกตัวอย่างเช่น การขับเคลื่อนอนุรักษ์การสวมใส่ผ้าไทย น้อมนำพระดำริสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ด้วยการที่เราสวมใส่ผ้าไทยเป็นตัวอย่างให้กับพี่น้องประชาชน การปลูกพืชผักสวนครัว สร้างหลักการประกันความมั่นคงทางอาหาร ผ่านโครงการพระราชดำริ “บ้านนี้มีรัก ปลูกผักกินเอง” “ทางนี้มีผล ผู้คนรักกัน” ของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี การจัดทำถังขยะเปียกลดโลกร้อน ซึ่งทั้งหมดจะก่อให้เกิดประโยชน์โดยตรงต่อพี่น้องประชาชน เราในฐานะข้าราชการใหม่ก็จะมีส่วนช่วยในการทำให้ชาวบ้านมีกินมีใช้ ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ สังคมของเราก็จะมีความสุขอย่างยั่งยืน” นายสุทธิพงษ์ฯ กล่าวในตอนท้าย
กองสารนิเทศ สป.มท.
ครั้งที่ 1068/2566 วันที่ 9 พ.ย. 2566
