วันนี้ (14 ม.ค. 66) เวลา 09.00 น. ที่ศูนย์ศึกษาและพัฒนาชุมชนนครนายก ต.สาริกา อ.เมืองนครนายก จ.นครนายก นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานฝึกอบรมโครงการศึกษาอบรมวิทยากรเพื่อทำหน้าที่ผู้ถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ชาติไทยประจำท้องถิ่น ปี 2567 รุ่นที่ 2 โดยได้รับเกียรติจากนายกองเอก ธารณา คชเสนี นายหมวดตรี น้ำเพ็ชร คชเสนี สัตยารักษ์ ดร.ลักษิกา เจริญศรี ร่วมเป็นวิทยากร โอกาสนี้ นายสุภกิณห์ แวงชิน ผู้ว่าราชการจังหวัดนครนายก นายศราวุธ สุวรรณจูฑะ นายธนวัฒน์ ปิ่นแก้ว รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครนายก นายชนาธิป โคกมณี ปลัดจังหวัดนครนายก นางสาวจิรวดี บรรพบุตร หัวหน้าสำนักงานจังหวัดนครนายก ร้อยตรี สรมงคล มงคละสิริ ผู้อำนวยการสถาบันดำรงราชานุภาพ นายสมาน พั่วโพธิ์ ผู้อำนวยการสถาบันการพัฒนาชุมชน และผู้เข้ารับการศึกษาอบรมซึ่งเป็นข้าราชการ ภาคเอกชน ครู นักวิชาการ นักพัฒนาชุมชน สภาวัฒนธรรม และประชาชนผู้สนใจจากจังหวัดนครนายก กาญจนบุรี ปราจีนบุรี ชัยนาท นนทบุรี ปทุมธานี นครปฐม สมุทรปราการ จำนวน 117 คน ร่วมรับฟัง โดยผู้เข้ารับการอบรมอายุมากที่สุด 74 ปี อายุน้อยที่สุด 23 ปี
นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า ผู้เข้ารับการศึกษาอบรมทุกท่าน คือ ความหวังของประเทศชาติในการสร้างความรัก ความสามัคคี ความสำนึกและรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณของสถาบันพระมหากษัตริย์ และผู้มีความกตัญญูกตเวมีต่อบรรพบุรุษชาติไทย ด้วยการปฏิบัติบูชาผ่านการศึกษาอบรมและนำไปถ่ายทอดในเรื่องที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง นั่นคือ “ประวัติศาสตร์” ทั้งประวัติศาสตร์ชาติไทย และประวัติศาสตร์ท้องถิ่น ดังพระราชเสาวนีย์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ที่ทรงตรัสในหลายครั้งหลายคราว่า ประเทศไทยจะต้องมีผู้มีความรู้ประวัติศาสตร์ชาติไทย อันจะทำให้ประเทศชาติมั่นคงได้ เพราะวิชาประวัติศาสตร์ชาติไทยจะทำให้เรารู้รากเหง้า ที่มาที่ไปของบรรพบุรุษของเรา และจะได้รู้สิ่งที่หาได้ยากในปัจจุบัน นั่นคือ ความภาคภูมิใจและความกตัญญูกตเวที ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงเปรียบเปรยพระราชปณิธานของพระองค์ท่านในเรื่องนี้มาจากการที่พระองค์ทรงเข้ารับการศึกษาที่ต่างประเทศ คือ ประเทศสหรัฐอเมริกา ที่ทุกวิชาของสหรัฐอเมริกาหรือนานาประเทศล้วนแฝงไปด้วยการศึกษาประวัติศาสตร์ชาติของตน เพราะทุกประเทศมีวิชาพื้นฐานในการสร้างคนในชาติให้มีความเป็นปึกแผ่นหรือ “Unity” เกิดความหวงแหน ความรักความสามัคคีในประเทศจากวิชาประวัติศาสตร์
“กระทรวงมหาดไทยมีความมุ่งมั่นตั้งใจในการน้อมนำพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ผู้ทรงมีความมุ่งมั่นในการสืบสานรักษาและต่อยอดพระราชดำริทั้งปวงของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมราชบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระราชปณิธานของสมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวงที่ทรงอยากให้ลูกหลานคนไทยทุกคนได้รู้ประวัติศาสตร์ชาติไทยของเรา ซึ่งนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้มอบนโยบายให้กับหัวหน้าส่วนราชการในสังกัดกระทรวงมหาดไทย พร้อมทั้งเป็นผู้นำในการร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ “ผลิตทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณภาพ สร้างจิตสำนึกในความเป็นไทย” ร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และกระทรวงแรงงาน โดยมุ่งหวังให้เกิดการส่งเสริมการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ชาติไทย ความภาคภูมิใจในความเป็นไทย ความสมัครสมานสามัคคี และการเทิดทูนไว้ซึ่งสถาบันหลักของชาติ อันจะหนุนเสริมให้ประเทศไทย เป็นประเทศที่ผู้คนเป็นพลเมืองผู้ร่วมพัฒนาและหนุนเสริมการสร้างสิ่งที่ดีให้กับประเทศด้วยความภาคภูมิใจในความเป็นคนไทย” นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าว
นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวต่ออีกว่า ผู้เข้ารับการศึกษาอบรมทุกท่าน เป็นผู้ที่ท่านผู้ว่าราชการจังหวัดได้ดำเนินการคัดเลือกด้วยตนเอง จากผู้ที่มีคุณสมบัติ 3 ประการ ได้แก่ 1. มีความจงรักภักดีต่อสถาบันหลักของชาติ 2. มีความกตัญญูกตเวทีต่อผู้มีพระคุณ และ 3. เป็นผู้มีความเสียสละ อยากจะช่วยบำเพ็ญประโยชน์ให้กับผืนแผ่นดินไทยโดยไม่หวังผลตอบแทน ผ่านการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ชาติไทย แล้วนำไปถ่ายทอดให้กับเด็ก เยาวชน และประชาชนทุกช่วงวัย ทั้งนี้ เราจะโทษเด็กรุ่นใหม่ว่าไม่รู้ประวัติศาสตร์ไม่ได้ เพราะที่ผ่านมา คนรุ่นเก่าอย่างพวกเราไม่ได้ถ่ายทอดให้เด็กฟัง ดังนั้นการศึกษาอบรมในครั้งนี้ จึงเป็นการน้อมนำพระราชปณิธาน ความว่า “ประเทศชาติมั่นคง ประชาชนมีความสุข แก้ไขในสิ่งผิด สืบสานในพระราชปณิธาน ภายใต้ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” ให้เกิดผลเป็นรูปธรรมอย่างแท้จริง ด้วยการ “แก้ไขในสิ่งผิด” โดยนำเรื่องราวความภาคภูมิใจ ประวัติศาสตร์ความเป็นชาติไทยที่มีความเกี่ยวเนื่องเกี่ยวโยงและผูกพันต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ ขยายผลทำให้คนในสังคมเข้าใจ และมีความรู้อย่างแท้จริง ซึ่งทุกท่านที่เข้ารับการศึกษาอบรมในวันนี้ ต้องเป็นครู ก นำพาความรู้ที่ถูกต้องถ่องแท้ไปสร้างครู ข คือ พ่อแม่ผู้ปกครองของเด็กได้รับรู้เรื่องราวของประวัติศาสตร์ชาติไทย รวมถึงตัวเด็กเองด้วย เพื่อที่จะร่วมกันขยายผลองค์ความรู้ไปยังพี่น้องประชาชนทั่วไป โดยในวันนี้มี นายกองเอก ธารณา คชเสนี (ครูป๊อด) นายหมวดตรี น้ำเพ็ชร คชเสนี สัตยารักษ์ (ครูปั๊ม) ดร.ลักษิกา เจริญศรี (ครูป้ายู) มาทำหน้าที่ครูผู้ถ่ายทอดประวัติศาสตร์ชาติไทยให้กับพวกเราทุกคน
นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ยังได้กล่าวอีกว่า หน้าที่สำคัญของท่านผู้ว่าราชการจังหวัดในการส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้ของคนทุกช่วงวัย ทำให้ประชาชนมีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ชาติไทย ต้องทำให้เกิดเวทีการเรียนรู้ในทุก ๆ โอกาส ผ่านการเสริมสร้างความร่วมมือของ 7 ภาคีเครือข่าย และทีมอำเภอบำบัดทุกข์ บำรุงสุข แบบบูรณาการอย่างยั่งยืน เช่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน กรรมการหมู่บ้าน พระสงฆ์องค์เจ้า และคนอื่น ๆ ในหมู่บ้าน ได้ตั้งวงคุยกันเรื่องประวัติศาสตร์ชาติไทย ได้มีการเทศนา สาธยายธรรม สอดแทรกองค์ความรู้ด้านประวัติศาสตร์ และในโอกาสต่าง ๆ ทั้งที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการ นอกจากนี้ โรงเรียนมัธยมศึกษาและโรงเรียนประถมศึกษาตลอดจนศูนย์พัฒนาเด็กเล็กในสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ได้ดำเนินการปรับหลักสูตรการเรียนการสอนของสถานศึกษา ที่มีการหนุนเสริมการเรียนรู้วิชาประวัติศาสตร์ชาติ และวิชาประวัติศาสตร์ท้องถิ่น เป็นที่เรียบร้อยแล้ว จึงเป็นแนวทางที่สำคัญที่ท่านผู้ว่าราชการจังหวัดในฐานะประธานกรรมการศึกษาธิการจังหวัด ต้องร่วมกับสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาทุกแห่ง ทำให้เกิดการขยายผลการเรียนรู้แก่นักเรียนในโรงเรียนทุกสังกัดในพื้นที่จังหวัด ด้วยการนำชั่วโมงเวลาเรียน ที่เราลดเวลาเรียนเพิ่มเวลารู้ วันละ 1 ชั่วโมง เป็นเวลาแห่งการรู้เรื่องประวัติศาสตร์ชาติไทยและประวัติศาสตร์ท้องถิ่นแต่ละจังหวัด รวมไปถึงวิชาศีลธรรม และวิชาหน้าที่พลเมือง อันมี 2 นัยสำคัญ คือ 1) เวลาเรียนตามหลักสูตรปกติยังคงเดิม และ 2) ให้เด็กใช้เวลารู้เรื่องประวัติศาสตร์ชาติไทย ตามความเหมาะสม ซึ่ง 2 นัยนี้ เป็นความหวังที่เราจะได้ช่วยกันสนองพระราชปณิธานด้วยการทำให้ผู้คนในสังคมได้ใช้เวลาเปิดสมอง เปิดจิตใจ รับรู้เรื่องราวประวัติศาสตร์ชาติไทย ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น เพื่อพวกเราทุกคนจะได้ร่วมกันภาคภูมิใจ และปฏิบัติบูชา เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 พี่คนมหาดไทยได้ร่วมกับทุกภาคีเครือข่ายตั้งใจทำให้เป็นปีแห่งการเฉลิมพระเกียรติ ด้วยความจงรักภักดี ทำให้คนไทยรักในผืนแผ่นดินไทย ทำให้คนไทยซาบซึ้งถึงความเสียสละของบรรพบุรุษ และจะส่งผลให้คนมีความกตัญญูต่อบรรพบุรุษไทย อันจะส่งผลให้ “ประเทศชาติมั่นคง ประชาชนมีความสุข”
“สิ่งหนึ่งที่จะทำให้ประเทศชาติมั่นคงได้ คือ ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันด้วยการมีจิตสำนึกต่อความเป็นชาติผ่านเรื่องราววีรกรรมของบรรพบุรุษที่ล้วนแล้วแต่ได้สร้างวีรกรรมด้วยจิตใจที่รุกรบ จิตใจที่เสียสละเพื่อชาติบ้านเมือง เช่น ขุนสรรค์แห่งค่ายบางระจัน ซึ่งเป็นชาวชัยนาท ได้ออกไปสู้ศึกในวีรกรรมค่ายบางระจัน จนชีวิตหาไม่ในสนามรบ เราก็ต้องร่วมกันเสริมสร้างองค์ความรู้นี้ให้แก่พี่น้องประชาชนชาวจังหวัดชัยนาท เพื่อพวกเขาจะได้ร่วมกันแสดงกตเวทิตาคุณ คือ การตอบแทนบรรพบุรุษ ด้วยการเล่าเรื่องความเสียสละของท่าน เฉกเช่นเดียวกับจังหวัดอื่น ๆ ที่บรรพบุรุษไทยได้เสียเลือดเนื้อเชื้อไขมากมาย เพื่อธำรงไว้ซึ่งความเป็นชาติ ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา โดยมีพระมหากษัตริย์เป็นหลักชัย โดยกระทรวงมหาดไทยได้กำหนดหลักสูตรการเรียนรู้วิชาประวัติศาสตร์ชาติไทยในการศึกษาอบรมครั้งนี้ โดยมีศูนย์อำนวยการใหญ่จิตอาสาพระราชทาน ได้มีหนังสือขอพระราชทานพระราชานุญาต นำหลักสูตรประวัติศาสตร์ชาติไทยของโรงเรียนจิตอาสาพระราชทาน มาเป็นหลักสูตรฝึกอบรมสำหรับพวกเราทุกคน” นายสุทธิพงษ์ฯ กล่าวเพิ่มเติม
นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวในช่วงท้ายว่า สิ่งสำคัญของพี่น้องผู้เข้ารับการศึกษาอบรมจะต้องมี และทำอย่างสม่ำเสมอ นั่นคือ เรื่องแรก งานในหน้าที่ประจำ (Routine Job) ซึ่งเป็นงานตามอาชีพที่เราได้ทำ เป็นสิ่งที่เราทำประจำในทุกวัน เรื่องที่ 2 งานเพิ่มเติม (Extra Job) เฉกเช่นการศึกษาอบรมวิชาประวัติศาสตร์ชาติไทยในครั้งนี้ ถือเป็น Extra Job ที่ทุกท่านจะได้นำไปขยายผลในทุก ๆ พื้นที่ ตลอดรวมไปถึงการไม่นิ่งดูดายเมื่อเห็นปัญหาอะไรแล้วก็ช่วยแก้ไขป้องกันโดยไม่มีใครสั่งก็ถือเป็น Extra Job และประการสุดท้ายคือ การรายงาน (Report) ทั้งการรายงานผลการศึกษาอบรมเสนอต่อผู้ว่าราชการจังหวัดทราบ ทั้งการประชาสัมพันธ์ผ่านหอกระจายข่าว วิทยุชุมชน รวมถึงการพูดคุยบอกเล่าผ่านสภากาแฟ และตั้งวงสนทนาต่าง ๆ ทั้งนี้ การรายงานผลการดำเนินการหลังฝึกอบรม เป็นสิ่งสำคัญที่จะเป็นแนวทางนำไปสู่การเสริมสร้างองค์ความรู้ทางประวัติศาสตร์ และขอให้ผู้เข้ารับการศึกษาอบรมทุกท่าน นำคุณค่าทางประวัติศาสตร์ซึ่งเป็นองค์ความรู้อันสำคัญยิ่ง มาทำให้ทุกท่านผู้เป็น “ขุนศึกผู้แกร่งกล้าของแผ่นดิน” ไปพูด ไปบอกเล่าประวัติศาสตร์ชาติไทยให้กับสังคมไทยไม่หยุดหย่อนจนกว่าเราจะหมดลม อันจะทำให้ประเทศชาติมั่นคง ประชาชนมีความสุขอย่างยั่งยืน
#WorldSoilDay #วันดินโลก #UN #FAO #GlobalSoilPartnership #MOI
#กระทรวงมหาดไทย #บำบัดทุกข์บำรุงสุข #SoilandWaterasourceoflife
#SustainableSoilandWaterforbetterlife #ดินดีน้ำดีชีวีมีสุขอย่างยั่งยืน #SDGsforAll #ChangeforGood
กองสารนิเทศ สป.มท.
ครั้งที่ 68/2567 วันที่ 14 ม.ค. 2567
