วันนี้ (3 พ.ค. 67) เวลา 08.00 น. ที่หอประชุมปาล์ม 2559 ศูนย์ศึกษาและพัฒนาชุมชนยะลา ถ.สุขยางค์ ต.สะเตง อ.เมืองยะลา จ.ยะลา นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานเปิดโครงการศึกษาอบรมวิทยากรเพื่อทำหน้าที่ผู้ถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ชาติไทยประจำท้องถิ่น ปี 2567 รุ่นที่ 16 โดยได้รับเกียรติจากนายกองเอก ธารณา คชเสนี (ครูป๊อด) นายหมวดตรี น้ำเพ็ชร คชเสนี สัตยารักษ์ (ครูปั๊ม) ดร.ลักษิกา เจริญศรี (ครูป้ายู) ร่วมเป็นวิทยากร โอกาสนี้ นายอำพล พงศ์สุวรรณ ผู้ว่าราชการจังหวัดยะลา นายธีรุตม์ ศุภวิบูลย์ผล นายอำนาจ ชูทอง รองผู้ว่าราชการจังหวัดยะลา นายเกียรติศักดิ์ มณีรัตน์ หัวหน้าสำนักงานจังหวัดยะลา พลตรี ชาคริต อุจะรัตน ผู้บัญชาการกองพลรบพิเศษที่ 1 พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการ นายอำเภอ ร้อยตรี สรมงคล มงคละสิริ ผู้อำนวยการสถาบันดำรงราชานุภาพ นางธนพร ไฝพรม ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาและพัฒนาชุมชนยะลา และผู้เข้ารับการศึกษาอบรมจากจังหวัด 7 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดนราธิวาส ปัตตานี พัทลุง ตรัง ยะลา สงขลา และจังหวัดสตูล รวม 92 คน ร่วมรับฟัง
นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า ตนรู้สึกเป็นเกียรติและดีใจอย่างยิ่งที่ตนได้มาเป็นประธานในพิธีเปิดโครงการฝึกอบรมวิทยากรเพื่อทำหน้าที่ผู้ถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ชาติไทยประจำท้องถิ่น ปี 2567 รุ่นที่ 16 ทำให้ได้มาพบปะกับทุกท่านผู้มีความมุ่งมั่นที่จะเป็นทหารเสือพระราชาในการแสดงออกซึ่งความกล้าหาญ ด้วยการลุกขึ้นมาทำในสิ่งที่ดีที่สนองแนวพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในการเป็น “ครูจิตอาสา” ผู้ที่ตระหนักรู้ถึงสิ่งสำคัญที่จะทำให้ประเทศชาติมั่นคง คือ การทำให้คนในสังคมไม่ลืมรากเหง้าและไม่ลืมบุญคุณของบรรพบุรุษ ด้วยการถ่ายทอดความรู้เรื่องราวประวัติศาสตร์ชาติไทย อันเป็นรากฐานของประเทศชาติ จังหวัด อำเภอ ตำบล หมู่บ้าน และชุมชน จึงนับเป็นเรื่องที่ดียิ่งที่ทุกท่านต่างมาเข้ารับการอบรมด้วยความตั้งใจและเป็นเรื่องที่น่ายินดีที่ในรุ่นนี้มีพระคุณเจ้า ผู้เป็นตัวแทนภาคีเครือข่ายผู้นำศาสนาเมตตาร่วมฝึกอบรม เพื่อเป็นกำลังสำคัญในการถ่ายทอดความรู้ให้กับพุทธศาสนิกชนและประชาชนผู้เป็นศาสนิกอื่น ๆ ในพื้นที่
“ถ้าคนไม่รู้จักกำพืด เทือกเถา เหล่ากอ ไม่รู้จักญาติพี่น้อง ทวด ปู่ ย่า ตา ยาย ซึ่งท่านได้มุ่งมั่นประกอบอาชีพ ดำรงตนเพื่อให้ลูกหลานได้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี ก็จะไม่เกิดคำว่า “กตัญญูกตเวที” เพราะเราไม่รู้ว่าบรรพบุรุษต้องฝ่าฟันอันตราย ยกบ้านยกช่องสร้างรากฐานจนมาถึงยุคเราอย่างไร ซึ่งประเทศชาติของเราก็เช่นกัน ถ้าเราไม่ได้ปลูกฝังความเป็นชาติ เด็กก็จะไม่รู้จัก ไม่รู้สึกคุ้นเคยหรือผูกพัน ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันก็จะน้อยลง ความกตัญญูกตเวทีในฐานะข้าของแผ่นดิน ความสมัครสมานสามัคคีก็น้อยลง ซึ่งเด็ก เยาวชน ลูกหลานไม่ได้ผิดเพราะเขาไม่รู้ มันผิดที่พวกเราไม่ได้สอน ไม่ได้ให้ความรู้เขา ดังนั้น “ต้องเริ่มที่ตัวเรา” ในการให้ความรู้วิชาประวัติศาสตร์ชาติไทย ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นในทุกโอกาส เพราะประเทศชาติจะมีความมั่นคงได้ต้องมาจากรากฐานของรากเหง้าที่มาจากที่เดียวกัน ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2551 สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ได้พระราชทานพระราชดำรัสต่อมหาสมาคม ที่สะท้อนถึงความสำคัญของวิชาประวัติศาสตร์ชาติไทย และจะเป็นกำลังใจให้พวกเราได้ทำหน้าที่ในฐานะผู้บอกเล่าเรื่องราวประวัติศาสตร์ชาติไทยประจำท้องถิ่น ความตอนหนึ่งว่า “เพราะเราจะพูดถึงความยิ่งใหญ่ของประเทศไทย ที่บรรพบุรุษของเราสละชีวิตมาเพื่อปกป้องผืนแผ่นดินมาด้วยเลือดเนื้อ ด้วยชีวิต แต่เสียดาย …ไม่ให้เรียนประวัติศาสตร์แล้วนะ…ตอนที่ฉันเรียนอยู่ที่สวิตเซอร์แลนด์ ไม่มีประวัติศาสตร์อะไรเท่าไหร่ แต่เราก็ต้องเรียนประวัติศาสตร์ของสวิส แต่เมืองไทยนี่ บรรพบุรุษเลือดทาแผ่นดิน กว่าจะมาถึงที่ให้พวกเราอยู่ นั่งอยู่กันสบาย มีประเทศชาติ เรากลับไม่ให้เรียนประวัติศาสตร์…อย่างที่อเมริกาถามไปเขาก็สอนประวัติศาสตร์บ้านเมืองเขา ที่ไหนประเทศไหน เขาก็สอน แต่ประเทศไทยไม่มี ไม่ทราบว่าแผ่นดินนี้ รอดไปอยู่จนบัดนี้เพราะใคร หรือว่ายังไงกัน อันนี้น่าตกใจ ชาวต่างประเทศยังไม่ค่อยทราบว่า นักเรียนไทยไม่มีการสอนประวัติศาสตร์ชาติเลย” ซึ่งพระราชดำรัสองค์นี้ สะท้อนให้เห็นว่า พระองค์ทรงตระหนักและให้ความสำคัญในการศึกษาประวัติศาสตร์ชาติไทยที่จะมีผลต่อความมั่นคงของชาติ ที่พวกเราต้องน้อมนำมาศึกษา ทำความเข้าใจ และยึดเป็นหลักชัยในการหนุนนำให้พวกเรามีกำลังใจไปกระตุ้นให้พื้นที่ของเราไม่ลืมเลือนที่จะพูดคุย เรียนรู้ ถ่ายทอดประวัติศาสตร์ชาติไทยและประวัติศาสตร์ท้องถิ่นให้กับลูกหลาน” นายสุทธิพงษ์ กล่าวในช่วงต้น
นายสุทธิพงษ์ กล่าวต่ออีกว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานพระปฐมบรมราชโองการ เมื่อวันที่ 4 พ.ค. 62 ความว่า “เราจะสืบสาน รักษา และต่อยอด และครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งอาณาราษฎรตลอดไป” ซึ่งต่อมาพระองค์ท่านยังได้พระราชทานพระราชดำรัสขยายความพระปฐมบรมราชโองการ เมื่อวันที่ 30 มิ.ย. 63 ความว่า “ประเทศชาติมั่นคง ประชาชนมีความสุข แก้ไขในสิ่งผิด สืบสานในพระราชปณิธาน ภายใต้ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” ซึ่งการทำให้ “ประชาชนมีความสุข ประเทศชาติต้องมั่นคงด้วย เป็นเรื่องเดียวกัน” ด้วยการ “แก้ไขในสิ่งผิด” และ “สืบสานพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ภายใต้หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” โดยพระองค์ได้พระราชทานโครงการจิตอาสาพระราชทาน โรงเรียนจิตอาสาพระราชทาน และโครงการพระราชดำริมากมาย เพื่อให้เราทุกคนช่วยกันแก้ไขในสิ่งผิด รื้อฟื้นสิ่งที่ดีให้กลับคืนมาสู่สังคมไทย นอกจากนี้ พระองค์ทรงให้ความสำคัญในเรื่องประวัติศาสตร์ชาติไทย ด้วยทรงมุ่งมั่นในการสนองพระราชปณิธานของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง และทรงมีพระราชดำรัสขยายความคำว่า “ประวัติศาสตร์” พระราชทานแก่เยาวชนโครงการค่ายผู้นำเยาวชนจิตอาสา หลักสูตรการฝึกปฏิบัติและดูงานเศรษฐกิจพอเพียงของนักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายทั่วประเทศ รุ่นที่ 1 ใจความสำคัญตอนหนึ่งว่า “ประเทศชาติก็คือบ้าน แบ่งเป็นพื้นที่ต่าง ๆ สังคมต่าง ๆ ก็ลงมาอยู่ที่พื้นฐานก็คือครอบครัวและลงมาอยู่ที่ตนเอง บ้านเมืองของเรา ประเทศของเรา หรือบ้านหรือครอบครัวของเราเนี่ย จะมีความสุขปลอดภัย น่าอยู่ สบาย มันก็ขึ้นกับคนรุ่นเราในอนาคต…แต่ที่สำคัญ คือ เราต้องเอาบทเรียนมาใช้…เพราะเราเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ เพราะเราคืออนาคต ประวัติศาสตร์มาปัจจุบัน ปัจจุบันก็คืออนาคต ปัจจุบันถือไมโครโฟน พอวางลงก็เป็นอดีต เมื่อเราจับไมโครโฟนมาใหม่ก็เป็นปัจจุบัน…ถ้าเราอยากเรียนลัด ก็ศึกษาประวัติศาสตร์ความเป็นมาให้มาก ว่าสมัยก่อนมันเป็นอย่างนี้ ถ้าทำอย่างนี้มันเป็นอย่างนั้น แล้วปัจจุบันเราจะทำอย่างไรให้เรามีความรู้ มีร่างกายที่แข็งแรง มีจิตใจที่จะรักษาประเทศชาติบ้านเมือง อย่างน้อยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เป็นกำลังใจให้…” สะท้อนให้เห็นว่าประวัติศาสตร์มีทั้ง “แบบแคบ” คือเรื่องส่วนตัว และ “แบบกว้าง” คือเรื่องชาติบ้านเมือง ซึ่งพระองค์ท่านทรงมีพระราชประสงค์ให้เราเรียนประวัติศาสตร์ชาติไทย ทั้งเรื่องส่วนตัวและเรื่องส่วนรวม และการเรียนประวัติศาสตร์จะเป็นทางลัดให้เราได้นำไปวิเคราะห์เพื่อเป็นบทเรียนในการปฏิบัติตนและประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้
“ตนมีความตั้งใจเดินทางมาเปิดและพบปะกับผู้เข้าอบรมโครงการศึกษาอบรมวิทยากรเพื่อทำหน้าที่ผู้ถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ชาติไทยประจำท้องถิ่น ปี 2567 ทุกรุ่นด้วยเหตุผลสำคัญหลายประการ 1) ตนเป็นคนแหลมงอบ จังหวัดตราด ซึ่งตราด เคยตกเป็นเมืองขึ้นของประเทศมหาอำนาจเป็นเวลาถึง 12 ปี และได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเพียรพยายามเป็นเวลามากกว่า 12 ปีทำให้ประเทศมหาอำนาจในยุคนั้นยอมรับว่าเราเป็นประเทศที่เจริญแล้ว ด้วยทรงใช้วิเทโศบายสร้างความสัมพันธ์ทางการทูต โดยในวันที่ 23 มีนาคมของทุกปีจะมีการจัดงาน “ตราดรำลึก” เป็นงานสนุกสนานรื่นเริงควบคู่กับสารัตถะแห่งการน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณที่ประเทศไทยได้ดินแดนเมืองตราดกลับคืนมาดังเดิม ซึ่งการถ่ายทอดความรู้ประวัติศาสตร์ชาติไทยของทุกท่านนั้นมีกลวิธีบอกเล่าหลายรูปแบบ ทั้งบอกเล่าตรง ๆ บอกเล่าผ่านการทัศนศึกษา เช่น สถานที่แห่งนี้ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เคยเสด็จพระราชดำเนินมาพระราชทานความห่วงใยและสร้างขวัญกำลังใจให้กับข้าราชการกระทรวงมหาดไทย และพสกนิกรชาวยะลา โดยพระราชทานแนวทางและทรงชักชวนให้ประชาชนปลูกต้นปาล์มเพื่อสร้างอาชีพ สร้างรายได้ ให้กับประชาชน จึงเป็นที่มาของชื่อ “หอประชุมปาล์ม” ศูนย์ศึกษาและพัฒนาชุมชนยะลา แห่งนี้ อันเป็นต้นปาล์มแห่งความรักของพสกนิกร เป็นต้น 2) ภายหลังจากการฝึกอบรมฯ ทุกท่านจะได้รับบัตรประจำตัวผู้ผ่านการฝึกอบรมฯ แล้วเมื่อทุกท่านเดินทางกลับไปที่พื้นที่จังหวัด อำเภอแล้ว ผู้ว่าราชการจังหวัดและนายอำเภอ จะส่งเสริมสนับสนุนบทบาทของผู้ผ่านการฝึกอบรมในการเป็นวิทยากรถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ชาติไทยประจำถิ่นในโอกาสต่าง ๆ เช่น การประชุมกรมการจังหวัด กรมการอำเภอ การประชุมกำนันผู้ใหญ่บ้าน การประชุมหมู่บ้าน การฝึกอบรมผู้ต้องขังในเรือนจำ และการใช้หอกระจายข่าวหมู่บ้านหรือสื่อในพื้นที่บอกเล่าในช่วงต่าง ๆ เป็นต้น 3) ตั้งแต่ภาคเรียนที่ 1/2567 กระทรวงมหาดไทยโดยกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ได้กำหนดให้วิชาประวัติศาสตร์ชาติไทย วิชาหน้าที่พลเมือง วิชาจริยธรรม และวิชาศีลธรรม เป็นวิชาหลักในโรงเรียนสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั่วประเทศ ขณะเดียวกันผู้ว่าราชการจังหวัดในฐานะประธานกรรมการศึกษาธิการจังหวัดได้ร่วมกับผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา และหัวหน้าหน่วยงายด้านการศึกษา ส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้วิชาเหล่านี้ในช่วงลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้ของโรงเรียนในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และสังกัดอื่น ๆ ต่อไป” นายสุทธิพงษ์ กล่าวเพิ่มเติม
นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวในช่วงท้ายว่า ผมฝากความหวังว่า ผู้เข้ารับการอบรมทุกท่านจะเป็นทหารเสือพระราชาผู้แสดงออกซึ่งความกล้าหาญ ลุกขึ้นมาทำสิ่งที่ดี “ด้วยหัวใจ” ด้วย Passion ของการเป็น “จิตอาสา” ด้วยภาคภูมิใจว่าสิ่งที่พวกเราได้มาฝึกอบรมในครั้งนี้ โดยมีวิทยากร คือ คุณครู 3 ป. ครูป๊อด ครูปั๊ม ครูป้ายู ผู้ที่จะทำให้ทุกคนได้รับประโยชน์ และจะได้กลับไปทำความดีตอบแทนคุณแผ่นดิน อันสอดคล้องกับเป้าหมายที่กระทรวงมหาดไทยขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่อง ด้วยความคิดที่จะทำให้ลูกหลานได้ศึกษาเรียนรู้เรื่องที่เกิดขึ้นในบ้านเมืองของเรา ทำให้คนในชาติได้รู้จักสำนึกในบุญคุณของบรรพบุรุษของเรา ซึ่งจะทำให้พวกเรากลายเป็นทหารเสือพระราชาผู้มีความกล้าหาญกล้าแกร่งในการทำให้เกิดสิ่งที่ดีให้เกิดขึ้นกับประเทศชาติบ้านเมืองของเรา เพราะกระทรวงมหาดไทยเชื่อมั่นว่า “ประเทศชาติจะมั่นคง ประชาชนจะมีความสุขได้” ประวัติศาสตร์ชาติไทย ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น อันเกี่ยวเนื่องกับสมเด็จพระบูรพกษัตริยาธิราชทุกพระองค์ เป็นเรื่องที่มีสำคัญที่จะทำให้ประเทศไทยของพวกเรา ทำให้ลูกหลานไทยของพวกเราทุกคนได้มีความรู้ ความรัก ความผูกพัน ความกตัญญูรู้คุณ อันจะส่งผลให้ชาติไทยดำรงคงอยู่ชั่วลูกชั่วหลานอย่างยั่งยืน เพื่อสนองแนวพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง สืบไป
กองสารนิเทศ สป.มท.
ครั้งที่ 775/2567 วันที่ 3 พ.ค. 2567