วันนี้ (4 ธ.ค. 62) พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะผู้บัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ (บกปภ.ช.) เปิดเผยว่า กรมอุตุนิยมวิทยาคาดการณ์ว่าตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2562 เป็นต้นไป ปริมาณฝนรวมจะมีค่าต่ำกว่าปกติ ส่วนบริเวณภาคใต้จะมีฝนตกชุกหนาแน่นต่อไป ซึ่งจากการติดตามสภาพอากาศและการบริหารจัดการน้ำมาอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งข้อมูลสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติพบว่าในช่วงฤดูฝนที่ผ่านมาถึงแม้อ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ ขนาดกลาง ขนาดเล็ก ตลอดจนแหล่งน้ำธรรมชาติในประเทศจะสามารถกักเก็บน้ำได้เพิ่มขึ้นมาก แต่ยังพบว่าบางพื้นที่ในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลาง ยังคงมีความเสี่ยง เนื่องจากมีปริมาณฝนตกน้อย ไม่อยู่ในเขตชลประทาน และไม่มีแหล่งเก็บน้ำสำรอง อาจประสบปัญหาขาดแคลนน้ำเพื่อการอุปโภค บริโภคได้ และในเขตชลประทานนั้นก็มีความเสี่ยงขาดแคลนน้ำด้านการเกษตร เนื่องจากหลายพื้นที่มีปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำน้อยจึงอาจไม่เพียงพอต่อการสนับสนุนการเพาะปลูก
พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า ได้สั่งการไปยังกองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดทุกจังหวัดปรับแผนเผชิญเหตุภัยแล้งทั้งในภาพรวมและเฉพาะเหตุที่อาจจะเกิดขึ้นให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน โดยดำเนินการใน 5 แนวทาง ได้แก่ 1) ใช้กลไกระบบบัญชาการเหตุการณ์ มอบหมายหน่วยงานรับผิดชอบเตรียมการป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยแล้ง แบ่งเป็น 3 กลุ่มภารกิจหลัก คือ “กลุ่มพยากรณ์” ประกอบด้วย หน่วยงานด้านการคาดการณ์สภาพอากาศ หน่วยงานด้านการบริหารจัดการน้ำ และฝ่ายปกครองในพื้นที่ ทำหน้าที่ติดตามสภาพอากาศ สภาพน้ำท่า และระดับน้ำในอ่างเก็บน้ำขนาดต่าง ๆ ในพื้นที่อย่างใกล้ชิด เพื่อวิเคราะห์และประเมินสถานการณ์น้ำต้นทุนและความต้องการใช้น้ำด้านต่าง ๆ “กลุ่มบริหารจัดการน้ำ” ทำหน้าที่วางแผนการใช้น้ำในลักษณะต่าง ๆ รวมทั้งกำหนดแนวทางการระบายน้ำและกักเก็บน้ำไว้ใช้ประโยชน์ครอบคลุมและสอดคล้องกับสถานการณ์น้ำในพื้นที่ “กลุ่มปฏิบัติการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำ” โดยบูรณาการหน่วยปฏิบัติการกับฝ่ายพลเรือน หน่วยทหาร และภาคเอกชน เข้าแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำ โดยให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหากรณีน้ำเพื่อการอุปโภค บริโภคของประชาชนเป็นอันดับแรก พร้อมกำหนดและแบ่งพื้นที่ที่อาจได้รับผลกระทบให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ 2) สำรวจตรวจสอบพื้นที่เสี่ยงขาดแคลนน้ำ โดยเฉพาะน้ำเพื่อการอุปโภค บริโภค พร้อมกำหนดมาตรการรับมือ อาทิ การจัดทำแผนสำรองน้ำ การหาแหล่งน้ำสำรอง การขุดเจาะบ่อน้ำบาดาลในพื้นที่เสี่ยงขาดแคลนน้ำดิบ และให้กำหนดพื้นที่ที่เหมาะสมเป็นพื้นที่นำร่องพัฒนาพื้นที่รับน้ำ (แก้มลิง) ชั่วคราวที่มีอยู่ในปัจจุบันให้เป็นพื้นที่กักเก็บน้ำถาวร ตลอดจนพิจารณาจัดทำธนาคารน้ำใต้ดินที่มีการควบคุมคุณภาพน้ำให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน สะอาด ปลอดภัย เพียงพอสำหรับการใช้ประโยชน์ 3) ในการจัดสรรน้ำเพื่อการเกษตร ให้ขอความร่วมมือไม่ให้เกษตรกรทำการปิดกั้นลำน้ำหรือสูบน้ำเข้าพื้นที่เพาะปลูกตามแผนของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เพื่อลดผลกระทบการขาดแคลนน้ำอุปโภค บริโภคในพื้นที่ พร้อมประสานกรมฝนหลวงและการบินเกษตรในการจัดทำฝนหลวงในพื้นที่เมื่อสภาวะอากาศเอื้ออำนวย 4) เฝ้าระวังและควบคุมไม่ให้มีการปล่อยน้ำเสียลงแม่น้ำ คู คลอง หรือแหล่งน้ำต่าง ๆ เพื่อลดปริมาณการใช้น้ำดีไล่น้ำเสีย และ 5) รณรงค์ประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ให้ประชาชนภาคส่วนต่าง ๆ มีส่วนร่วมในการประหยัดน้ำ และทราบถึงมาตรการบริหารจัดการน้ำของภาครัฐ และเชิญชวนประชาชนจิตอาสาในพื้นที่มีส่วนร่วมในการก่อสร้าง/ซ่อมแซมแหล่งกักเก็บน้ำขนาดเล็ก เพื่อปลุกจิตสำนึกการใช้น้ำอย่างประหยัดและรู้คุณค่า
พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา กล่าวเน้นย้ำว่า ขอให้ทุกจังหวัดบูรณาการการทำงานในพื้นที่ทั้งภาครัฐ เอกชน ภาคประชาชน และหน่วยงานต่าง ๆ มุ่งแก้ไขปัญหาภัยแล้งร่วมกัน มีการทำงานอย่างเป็นระบบและคำนึงถึงการให้ความช่วยเหลือประชาชนเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรก ทั้งนี้กองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ พร้อมสนับสนุนทรัพยากรทุกด้านเพื่อบรรเทาปัญหาภัยแล้งที่อาจเกิดขึ้น และหากพี่น้องประชาชนได้รับผลกระทบจากภัยแล้ง สามารถติดต่อสายด่วนสาธารณภัย โทร. 1784 ตลอด 24 ชั่วโมง.
กองสารนิเทศ สป.มท.
ครั้งที่ 205/2562
วันที่ 4 ธ.ค. 2562