วันนี้ (27 ม.ค. 67) นายศุภศิษย์ กอเจริญยศ ผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี เปิดเผยถึงการสร้างความมั่นคงทางอาหารของอำเภอเขื่องใน จาก “บ้านนี้มีรัก ปลูกผักกินเอง” ขยายผลสู่ “ทางนี้มีผล ผู้คนรักกัน” ซึ่งเป็นการน้อมนำแนวพระราชดำริของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี มาสู่การเป็น “สวนครัวริมทาง” ของพี่น้องประชาชนชุมชนบ้านวังอ้อ ตำบลหัวดอน อำเภอเขื่องใน จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งได้รับความเมตตาจากพระเทพวราจารย์ เจ้าคณะจังหวัดอุบลราชธานี พระครูโสภณอาภากร เจ้าคณะอำเภอเขื่องใน ร่วมกับ หัวหน้าส่วนราชการ และภาคีเครือข่าย และชุมชนบ้านวังอ้อ ร่วมกันปลูกพืชผักสวนครัว ซึ่งเป็นบริเวณเดียวกันที่ดำเนินโครงการพัฒนาพื้นที่ต้นแบบ เพื่อคุณภาพชีวิต แบบอารยเกษตร ตามแนวพระราชดำริ ของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (ภาคอีสาน) ซึ่งกำลังดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน
นายศุภศิษย์ กอเจริญยศ ผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี กล่าวว่า กระทรวงมหาดไทยมุ่งมั่นในการขับเคลื่อนบูรณาการสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชนอำเภอเขื่องใน ในการอนุรักษ์ดิน น้ำ ป่า การปกป้องดิน สร้างความสามัคคีของคนในชุมชน พึ่งตนเองได้อย่างยั่งยืนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง การรณรงค์ส่งเสริมให้ประชาชนน้อมนำพระราชดำริสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในการสร้างความมั่นคงทางอาหาร “บ้านนี้มีรัก ปลูกผักกินเอง” “ทางนี้มีผล ผู้คนรักกัน” ดำเนินการปลูกผักสวนครัวและพืชสมุนไพร สู่ธนาคารพันธุกรรมพืช ซึ่งอยู่ริมทางระหว่างตลาดชุมชนวังอ้อ-บ้านแขม ตำบลหัวดอน อำเภอเขื่องใน จังหวัดอุบลราชธานี มีระยะทาง ยาว 150 เมตร มีพืชผักสวนครัว มากมายอาทิ ดอกแค ขิง ข่า ตะไคร้ พริก มะเขือ มะเขือพวง ผักแพว แมงลัก ดอกอัญชัน มะนาว ผักเม็ก ถั่วฝักยาว อันเป็นต้นแบบในการขยายผลการใช้พื้นที่ว่างเปล่า พื้นที่สาธารณะให้เกิดประโยชน์ในการสร้างความมั่นคงทางอาหาร พร้อมด้วยการน้อมนำแนวทางตามโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี โดยทำป้ายให้ความรู้ชื่อและสรรพคุณของต้นไม้ เพื่อสามารถใช้เป็นที่ศึกษาเรียนรู้ด้านพันธุกรรมพืชสำหรับเด็ก เยาวชน และประชาชนทั่วไป ซึ่งเมื่อคนรู้จักต้นไม้ รู้ประโยชน์ ก็จะมีความรักต้นไม้ และเป็นผู้เฉลียวฉลาดรอบรู้เรื่องพันธุ์ไม้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะก่อให้เกิดการแบ่งปัน เกิดความรักความสามัคคี เกิดองค์ความรู้สำหรับเด็ก เยาวชน และประชาชนทั่วไปในพื้นที่
นายศุภศิษย์ กอเจริญยศ ผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี กล่าวต่ออีกว่า การขับเคลื่อนโครงการ “บ้านนี้มีรัก ปลูกผักกินเอง” “ทางนี้มีผล ผู้คนรักกัน” ของอำเภอเขื่องในในครั้งนี้ ได้รับความเมตตาจากพระเทพวราจารย์ เจ้าคณะจังหวัดอุบลราชธานี พระครูโสภณอาภากร เจ้าคณะอำเภอเขื่องใน ซึ่งเป็นการรวมพลังตามหลัก “บวร” คือ บ้าน วัด และราชการ อันเป็นพลังที่เป็นกลไกสำคัญในการประสานกับทุกภาคีเครือข่ายเพื่อการพัฒนาพื้นที่ อันสอดคล้องกับการขับเคลื่อนการพัฒนาที่ยั่งยืน ดังที่ท่านผู้ว่าราชการจังหวัดทั้ง 76 จังหวัดได้ลงนามประกาศเจตนารมณ์เพื่อประเทศไทยที่ยั่งยืน “76 จังหวัด 76 คำมั่นสัญญาเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน” ด้วยการขับเคลื่อนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals: SDGs) ทั้ง 17 ข้อของสหประชาชาติ และสอดคล้องกับสิ่งที่กระทรวงมหาดไทยได้น้อมนำพระดำริของสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ขับเคลื่อนโครงการ “หมู่บ้านยั่งยืน (Sustainable Village)” เพื่อพัฒนาพี่น้องประชาชนให้ได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน และเป็นส่วนหนึ่งโครงการพัฒนาพื้นที่ต้นแบบ เพื่อคุณภาพชีวิต แบบอารยเกษตร ตามแนวพระราชดำริ ของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (ภาคอีสาน) ซึ่งกำลังดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน อันเป็นสิ่งที่กระทรวงมหาดไทยมุ่งหวังในการที่พี่น้องประชาชนคนไทยจะได้ร่วมกันปฏิบัติบูชาด้วยการสร้างพื้นที่แห่งความยั่งยืน เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
“ขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนทุกคน ช่วยกันลุกขึ้นมาร่วมแรงร่วมใจกันปลูกผักสวนครัวทุกครัวเรือน ปรับพื้นที่รกร้างว่างเปล่าของชุมชนที่อยู่อาศัยให้เป็นแปลงผัก แปลงสมุนไพร เพื่อความมั่นคงทางอาหาร ขอให้พี่น้องคนไทยทุกคนให้ความสำคัญในการพึ่งพาตนเอง เพื่อที่หากเราต้องเผชิญวิกฤต เราจะสามารถพึ่งพาตนเองได้ มีอาหารหล่อเลี้ยงชีวิตของตนเองและครอบครัว อันจะทำให้ทุกครัวเรือนมีความมั่นคงและมีความสุข นำไปสู่การมีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน” นายศุภศิษย์ฯ กล่าวทิ้งท้าย
#WorldSoilDay #วันดินโลก #UN #FAO #GlobalSoilPartnership #MOI
#กระทรวงมหาดไทย #บำบัดทุกข์บำรุงสุข #SoilandWaterasourceoflife
#SustainableSoilandWaterforbetterlife #ดินดีน้ำดีชีวีมีสุขอย่างยั่งยืน #SDGsforAll #ChangeforGood
กองสารนิเทศ สป.มท.
ครั้งที่ 139/2567 วันที่ 27 ม.ค. 67
